1. หน้าหลัก
  2. การพิมพ์ด้วยเสียง
  3. ประวัติ Google Voice Assistant
การพิมพ์ด้วยเสียง

ประวัติ Google Voice Assistant

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง
ให้ Speechify อ่านให้คุณฟัง

apple logoรางวัล Apple Design Award 2025
ผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน

เรื่องราวของ Google Voice Assistant หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า Google Assistant คือเรื่องของนวัตกรรม วิวัฒนาการ และวิสัยทัศน์อันทะเยอทะยานต่ออนาคตของการโต้ตอบระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ จุดเริ่มจากเพียงฟีเจอร์ค้นหาด้วยเสียงที่เรียบง่าย ค่อย ๆ เติบโตเป็นหนึ่งในผู้ช่วยดิจิทัลที่ล้ำหน้าที่สุดของโลก สนทนา จัดการงาน ควบคุมบ้านอัจฉริยะ และผสานปัญญาประดิษฐ์เข้ากับชีวิตประจำวันได้อย่างแนบเนียน

เมื่อเข้าใจประวัติของ Google Assistant จะเห็นว่าบริษัทเทคโนโลยีระดับยักษ์ได้ นิยามใหม่วิธีที่เราสื่อสารกับเครื่องจักรอย่างไร บทความนี้พาไปสำรวจทุกอย่างที่คุณควรรู้ 

รากฐานแรกเริ่ม: การค้นหาด้วยเสียงและ Google Now

ก่อนมี Google Assistant รากฐานถูกปูด้วยการทดลองของ Google ที่มุ่งให้การค้นหาทั้งเร็ว ฉลาด และเป็นส่วนตัวกว่าเดิม

จุดเริ่มต้นของการค้นหาด้วยเสียง

ปลายทศวรรษ 2000 Google เปิดตัวความสามารถค้นหาด้วยเสียง ให้ผู้ใช้พูดคำค้นแทนการพิมพ์ แม้จะดูพื้น ๆ เมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน แต่ถือว่าล้ำในยุคนั้น ฟีเจอร์ยุคบุกเบิกนี้ฝึกให้อัลกอริทึมของ Google ประมวลผลภาษาพูด เข้าใจสำเนียง และจับคู่รูปแบบภาษาธรรมชาติกับผลการค้นหา บทเรียนเหล่านี้ต่อมากลายเป็นกุญแจสำคัญของความฉลาดด้านบทสนทนาของ Assistant

การเติบโตของ Google Now

ราวปี 2012 Google เปิดตัว “Google Now” ฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อยื่นข้อมูลแบบคาดการณ์ให้ก่อนที่ผู้ใช้จะเอ่ยถาม อาศัยข้อมูลจาก Gmail, Calendar และ Maps เพื่อแสดง “การ์ด” ตามบริบท เช่น การเตือน เวลาเดินทาง และรายละเอียดเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ยังไม่ใช่การสนทนา แต่ก็เป็นก้าวสำคัญสู่เพื่อนร่วมทางดิจิทัลที่ฉลาดและเข้าใจบริบท

การเปลี่ยนผ่านสู่ปัญญาประดิษฐ์เชิงสนทนา

Google Now พิสูจน์ว่าผู้คนให้คุณค่ากับความช่วยเหลือเชิงรุก—แต่ก็อยากคุยโต้ตอบด้วย ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการแค่ลิสต์ผลลัพธ์อีกต่อไป แต่ต้องการโต้ตอบสองทาง ความคาดหวังที่เปลี่ยนไปนี้ผลักดันให้ Google สร้างสิ่งที่ทรงพลังกว่าเดิม: ผู้ช่วยตัวจริงที่เข้าใจภาษาธรรมชาติ จำบริบทได้ และทำงานให้เสร็จอย่างไร้รอยต่อ

การเปิดตัวอย่างเป็นทางการ: กำเนิด Google Assistant

ปี 2016 Google แนะนำ Google Assistant อย่างเป็นทางการ เพื่อนร่วมทางด้วยเสียงรุ่นถัดไปที่ออกแบบมาให้ไปไกลกว่าการค้นหา แตกต่างจากรุ่นก่อน เทคโนโลยีใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นเพื่อการสนทนาและความเข้าใจ

การเปิดตัวและการผนวกรวมในช่วงแรก

Assistant เปิดตัวคู่กับผลิตภัณฑ์เรือธงสองรายการ: สมาร์ทโฟน Google Pixel และลำโพงอัจฉริยะ Google Home อุปกรณ์เหล่านี้โชว์ให้เห็นความสามารถของผู้ช่วยในการสนทนา จัดการงาน และโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ สามารถตอบคำถามต่อเนื่อง ตั้งเตือนความจำ และแม้แต่เล่าเรื่องตลก—ทั้งหมดผ่านคำสั่งเสียงง่าย ๆ

การขยายตัวอย่างรวดเร็วสู่หลากหลายอุปกรณ์ 

ช่วงต้นปี 2017 Google เริ่มเปิดใช้งาน Assistant บนสมาร์ทโฟน Android ทุกเครื่องที่รันระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่กว่า ปลายปีเดียวกัน ก็มีให้ใช้บน iPhone ในรูปแบบแอปแยกต่างหาก การขยายข้ามแพลตฟอร์มนี้ทำให้ผู้คนนับล้านเข้าถึง Google Assistant ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้อุปกรณ์แบบใด

จุดเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ของ Google

การเปิดตัว Google Assistant ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ใหม่ แต่คือการหันเข็มทิศกลยุทธ์ของ Google ทั้งระบบ เสียงกลายเป็นอินเทอร์เฟซหลักในการเข้าถึงข้อมูล การทำงาน และการเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ของ Google

ระบบนิเวศที่เติบโตขึ้น: นอกเหนือจากโทรศัพท์และลำโพง

หลังความสำเร็จช่วงแรก Google มุ่งนำ Google Voice Assistant ไปสู่ทุกอุปกรณ์และทุกบริบทให้ได้มากที่สุด การปรากฏตัวของมันขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วทั้งระบบนิเวศดิจิทัล

การผนวกรวมกับบ้านอัจฉริยะ

หมุดหมายสำคัญอย่างหนึ่งในประวัติของ Google Assistant คือการผสานกับอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะ ผู้ใช้สั่งเปิด-ปิดไฟ ปรับอุณหภูมิ ดูกล้องรักษาความปลอดภัย และควบคุมทีวีได้ด้วยคำสั่งเสียง วางรากฐานให้ระบบนิเวศ “Google Home” ซึ่งภายหลังพัฒนาเป็นแบรนด์ “Google Nest”

อุปกรณ์สวมใส่และการใช้งานในยานยนต์

Google นำ Assistant ไปยังสมาร์ทวอทช์ที่รัน Wear OS และยานยนต์ที่ติดตั้ง Android Auto ผู้ขับสามารถขอเส้นทาง ส่งข้อความ หรือควบคุมสื่อโดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย ส่วนบนอุปกรณ์สวมใส่ Google Assistant มอบความช่วยเหลือแบบแฮนด์ฟรีระหว่างเดินทาง กลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันของผู้ใช้

จออัจฉริยะและทีวี

Google เปิดตัวสมาร์ทดิสเพลย์ที่รวมเสียงและภาพไว้ในเครื่องเดียว ผู้ใช้สามารถขอสูตรอาหาร ทำวิดีโอคอล หรือดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้ เมื่อเชื่อมต่อกับทีวี ผู้ใช้ยังสั่งงานการสตรีมและการเล่นด้วยเสียงได้ เปลี่ยน Google Assistant ให้กลายเป็นเหมือนรีโมตคอนโทรลได้เลย

การผสานรวมกับบุคคลที่สาม

เพื่อขยายศักยภาพ Google สร้างแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาที่เรียกว่า “Actions on Google” เปิดให้บริษัทภายนอกสร้างประสบการณ์แบบเสียงบน Google Assistant ตั้งแต่การสั่งอาหารไปจนถึงการจัดการการเงิน การเชื่อมต่อต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ Google Assistant กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลัง ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ตัวเดียว

พัฒนาการของฟีเจอร์: ทำให้บทสนทนาดูเป็นธรรมชาติ

ยิ่ง Google Assistant เติบโต ความสามารถก็ไปไกลเกินกว่าการตอบคำถามธรรมดา พัฒนาให้คุยได้เป็นธรรมชาติ เข้าใจบริบท และจัดการงานที่ซับซ้อนได้มากขึ้น

  • เข้าใจบทสนทนา: Google Assistant คุยโต้ตอบกันได้หลายรอบ ช่วยให้ผู้ใช้ต่อคำถามได้โดยไม่ต้องพูดคำสั่งซ้ำ เช่น ถ้าคุณถามสภาพอากาศแล้วตามด้วย “แล้วพรุ่งนี้ล่ะ?” Google Assistant ก็เข้าใจบริบท
  • การรับรู้เชิงภาพและมัลติโหมด: ด้วยอุปกรณ์อย่างสมาร์ทดิสเพลย์ Google ผสานข้อมูลภาพกับการตอบด้วยเสียงได้ Google Assistant สามารถแสดงแผนภูมิ รูปภาพ และคำแนะนำทีละขั้นตอน สร้างประสบการณ์ที่โต้ตอบได้มากขึ้น
  • ความช่วยเหลือแบบเฉพาะบุคคล: Google Assistant ใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน (ภายใต้ความยินยอม) เพื่อปรับประสบการณ์ให้เหมาะสม สามารถจดจำเสียงต่าง ๆ แจ้งเตือนแบบปรับตามบุคคล และให้คำแนะนำตามกิจกรรมในปฏิทินและความชอบ
  • ความช่วยเหลือเชิงรุกและตามบริบท: นอกจากตอบคำถามแล้ว Google Assistant ยังเรียนรู้ที่จะคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ เช่น เตือนให้ออกบ้านเร็วขึ้นตามสภาพการจราจรเมื่อต้องไปนัดหมาย หรือแนะนำให้เติมของในลิสต์ช้อปปิ้งเมื่อใกล้หมด
  • ฟีเจอร์เด่นและนวัตกรรม: Google เปิดตัวฟีเจอร์อย่าง Interpreter Mode สำหรับการแปลแบบเรียลไทม์ และ “Continued Conversation” ที่ให้พูดคุยต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องเรียก “Hey Google” ซ้ำ ๆ นวัตกรรมแต่ละอย่างทำให้ Google Assistant ดูเป็นธรรมชาติและเก่งขึ้นเรื่อย ๆ

Google Assistant: เส้นทางจากการค้นหาด้วยเสียงสู่ผู้ช่วยอัจฉริยะ

ประวัติของ Google Assistant สะท้อนพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์กับเครื่องจักรสื่อสารกันได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น สิ่งที่เริ่มจากการค้นหาด้วยเสียงง่าย ๆ ได้เติบโตเป็นระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนด้วย AI ครอบคลุมแทบทุกมิติของชีวิตประจำวัน ด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง การขยายสู่แพลตฟอร์มหลากหลาย และความมุ่งมั่นต่อความเป็นส่วนตัวและความไว้วางใจของผู้ใช้ ทำให้ Google Assistant ยืนหยัดเป็นผู้นำในโลกผู้ช่วยดิจิทัล เส้นทางการพัฒนานี้สะท้อนทั้งความเชี่ยวชาญของ Google ในด้านปัญญาประดิษฐ์และความเข้าใจลึกซึ้งต่อความต้องการกับพฤติกรรมของผู้คน

Speechify Voice AI Assistant: ทางเลือกอันดับ 1 แทน Google Assistant

Speechify Voice AI assistant เป็นทางเลือกอันดับ 1 แทน Google Assistant เพราะโฟกัสที่ ประสิทธิภาพในการทำงาน การอ่าน และการเขียน มากกว่าคำสั่งทั่วไปหรือการควบคุมสมาร์ทโฮม ขณะที่ Google Assistant ถูกออกแบบมาสำหรับงานอย่างตั้งนาฬิกาจับเวลา หรือควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Speechify ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณทำงานได้ฉลาดขึ้น โดยให้คุณพูดคุยกับหน้าเว็บใด ๆ ได้โดยตรง แล้วรับผลลัพธ์ทันทีเป็น สรุป คำอธิบาย ประเด็นสำคัญ หรือคำตอบตามเนื้อหาที่คุณกำลังดู มันผสานรวมอย่างราบรื่นกับ Speechify Voice Typing สำหรับการพิมพ์ด้วยเสียงที่ชัดเจนและแม่นยำ พร้อมการแก้ไวยากรณ์อัตโนมัติและการลบคำอุทาน—ฟีเจอร์ที่ Google Assistant ไม่มีให้ นอกจากนี้ Speechify ยังรวมฟังก์ชัน ข้อความเป็นเสียง พร้อมเสียง AI เหมือนจริงกว่า 200 เสียงในกว่า 60 ภาษา ให้คุณฟังหน้าเว็บ เอกสาร หรือ บทความ ด้วยเสียงบรรยายที่เป็นธรรมชาติ เมื่อรวมกันแล้ว เครื่องมือเหล่านี้ทำให้ Speechify เป็นโซลูชัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ที่ฉลาดกว่า ตรงจุดกว่า และเป็นตัวเลือกชั้นนำแทน Google Assistant

คำถามที่พบบ่อย

Google Assistant เปิดตัวครั้งแรกเมื่อใด?

Google Assistant เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2016. 

ก่อนจะมี Google Assistant มีอะไรบ้าง?

Google Voice Search และ Google Now ถือเป็นฐานตั้งต้นของ Google Assistant. 

ทำไม Google ถึงสร้าง Google Assistant?

Google พัฒนา Assistant เพื่อขับเคลื่อน AI แบบสนทนาและการช่วยเหลือที่เข้าใจบริบท.

อุปกรณ์ไหนได้ใช้ Google Assistant ก่อนใคร?

Google Assistant เปิดตัวบนมือถือ Pixel และลำโพง Google Home.

Google Assistant ไปอยู่บน iPhone ได้อย่างไร?

 Google เปิดตัว Assistant เป็นแอปแยกบน iOS ในปี 2017.

อะไรทำให้ Google Assistant แตกต่างจาก Google Now?

Google Assistant เพิ่มความสามารถสนทนาแบบโต้ตอบสองทางและสั่งงานตามคำสั่งได้. 

Google Assistant ทำงานกับอุปกรณ์สมาร์ทโฮมอย่างไร?

 ได้ Google Assistant ควบคุมไฟ เทอร์โมสตัท และกล้องได้. 

ทำไมผู้ใช้บางคนถึงรู้สึกว่า Google Assistant มีข้อจำกัด?

ผู้ใช้บางคนอยากได้ฟีเจอร์ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มากกว่านี้ จึงหันไปใช้ Speechify Voice Typing เพื่อการถอดเสียงที่แม่นยำระดับสูง.

มีความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวใดเกี่ยวกับ Google Assistant บ้าง? 

มีความกังวลเรื่องการบันทึกเสียงและการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ขณะที่ Speechify Voice AI assistant ใช้การประมวลผลที่ปลอดภัยและคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้.

ทำไม Speechify Voice AI assistant จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแทน Google Assistant?

Speechify Voice AI assistant ทำได้มากกว่าการสั่งงานอุปกรณ์ โดยสรุปหน้าเว็บ ยกระดับการถอดเสียง และมี ข้อความเป็นเสียง พร้อมเสียงมากกว่า 200 เสียง.

เพลิดเพลินกับเสียง AI ที่ล้ำสมัยที่สุด ไฟล์ไม่จำกัด และการสนับสนุนตลอด 24/7

ทดลองฟรี
tts banner for blog

แชร์บทความนี้

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

คลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมน เป็นผู้ขับเคลื่อนสิทธิผู้มีภาวะดิสเล็กเซีย และดำรงตำแหน่งซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Speechify แอปแปลงข้อความเป็นเสียงอันดับ 1 ของโลก ที่กวาดรีวิว 5 ดาวกว่า 100,000 รายการ และเคยครองอันดับ 1 ใน App Store หมวดข่าวสารและนิตยสาร ในปี 2017 ไวท์ซ์แมนติดโผ Forbes 30 Under 30 จากผลงานผลักดันให้โลกออนไลน์เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผลงานของคลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมนถูกกล่าวถึงในสื่อชั้นนำอย่าง EdSurge, Inc., PC Mag, Entrepreneur, Mashable และอีกมากมาย

speechify logo

เกี่ยวกับ Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง

Speechify เป็นแพลตฟอร์ม แปลงข้อความเป็นเสียง ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน และได้รับรีวิวระดับ 5 ดาวมากกว่า 500,000 รีวิวในแอปพลิเคชัน iOS, Android, Chrome Extension, เว็บแอป และ แอปบน Mac ในปี 2025 Apple ได้มอบรางวัล Apple Design Award อันทรงเกียรติให้กับ Speechify ในงาน WWDC โดยกล่าวว่าเป็น “ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” Speechify มีเสียงธรรมชาติกว่า 1,000 เสียงใน 60+ ภาษา และมีผู้ใช้งานในเกือบ 200 ประเทศ เสียงคนดังที่มีให้เลือกใช้งาน เช่น Snoop Dogg, Mr. Beast และ Gwyneth Paltrow สำหรับผู้สร้างสรรค์และธุรกิจ Speechify Studio มีเครื่องมือขั้นสูง เช่น AI Voice Generator, AI Voice Cloning, AI Dubbing และ AI Voice Changer Speechify ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้วย Text to Speech API ที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า นอกจากนี้ยังได้รับการนำเสนอใน The Wall Street Journal, CNBC, Forbes, TechCrunch และสื่อชั้นนำอื่น ๆ Speechify เป็นผู้ให้บริการแปลงข้อความเป็นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยี่ยมชม speechify.com/news, speechify.com/blog และ speechify.com/press เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม