การเปิดตัวผู้ช่วยเสียง “Hey Copilot” ของ Microsoft ถือเป็นก้าวสำคัญของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ออกแบบมาให้ควบคุมด้วยเสียงแบบแฮนด์ฟรี ผสานเข้ากับ Windows, Microsoft 365 และโมเดล AI บนคลาวด์อย่างลึกซึ้ง “Hey Copilot” ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้มากขึ้นเพียงออกคำสั่งด้วยเสียงตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะต้องการพิมพ์ด้วยเสียงให้เร็วขึ้น พิมพ์ด้วยเสียง ถอดเสียงให้แม่นยำกว่าเดิม หรือสั่งควบคุมอุปกรณ์ได้อย่างลื่นไหล ผู้ช่วยใหม่จาก Microsoft นี้จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการทำให้ AI ใช้งานได้ง่าย เป็นธรรมชาติ และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน.
“Hey Copilot” คืออะไร?
“Hey Copilot” คือคำปลุกผู้ช่วยเสียงรูปแบบใหม่ของ Microsoft สำหรับใช้งานกับ Copilot AI บนอุปกรณ์ Windows ทุกเครื่อง และในระบบนิเวศด้าน การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ Microsoft คล้ายกับ “Hey Siri” หรือ “Hey Google” ผู้ใช้สามารถปลุกผู้ช่วยเสียง AI ของ Microsoft ได้แบบไร้การสัมผัส ขอข้อมูล สั่งงาน สร้างเนื้อหา และควบคุมแอปพลิเคชันได้เพียงแค่พูด
Microsoft สร้าง “Hey Copilot” เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหญ่ในการฝัง AI ในทุกระดับของคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชันเพื่อการทำงาน ไปจนถึงคลาวด์ ผู้ช่วยเสียง AI ตัวนี้ผสานเทคโนโลยีรู้จำเสียงขั้นสูงของ Microsoft เข้ากับความสามารถด้านการให้เหตุผลและการสร้างเนื้อหาของ OpenAI ทำให้มีความฉลาด เข้าใจบริบท และตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เหตุผลที่ Microsoft พัฒนา Hey Copilot
Microsoft พัฒนา “Hey Copilot” เพื่อตอบรับความต้องการใช้งานแบบไร้มือที่เพิ่มขึ้น ควบคู่กับเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัย เล็งเห็นโอกาสในการเชื่อม ecosystem ทั้งหมดผ่านอินเทอร์เฟซสนทนาเพียงจุดเดียว เมื่ออุปกรณ์ที่ใช้เสียงและเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพด้วย AI ถูกใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ Microsoft ต้องการให้ผู้ใช้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เร็วขึ้นและเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยไม่ต้องพิมพ์หรือไล่หาเมนูที่ซับซ้อน
“Hey Copilot” ยังช่วยให้การ พิมพ์ด้วยเสียง และการถอดเสียงมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการรู้จำเสียงที่แม่นยำขึ้น จัดไวยากรณ์ได้ถูกต้อง และเข้าใจภาษาพูดได้เป็นธรรมชาติ รองรับทั้งงานเขียนระดับมืออาชีพและการใช้งานในชีวิตประจำวัน การฝังตัวอย่างแนบแน่นกับ Windows, Edge และ Microsoft 365 ทำให้ Microsoft มอบประสบการณ์ใช้งานที่ต่อเนื่อง รองรับ Copilot ให้แข่งขันกับ Siri, Alexa และ Google Assistant ได้อย่างมั่นใจ โดยเน้นจุดเด่นด้าน AI เชิงเหตุผลและ ประสิทธิภาพการทำงานที่เหนือกว่า และยังช่วยให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย การมองเห็น หรือทักษะการอ่าน เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น
คุณสมบัติหลักของ Hey Copilot
“Hey Copilot” ถูกออกแบบมาให้เป็นอินเทอร์เฟซสนทนาอัจฉริยะ ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้มากขึ้นด้วยความพยายามน้อยลง คุณสมบัติหลักสร้างบนเทคโนโลยีการรู้จำเสียงขั้นสูง machine learning และศักยภาพ AI ที่เติบโตของ Microsoft ผ่าน Copilot โดยมีฟีเจอร์สำคัญได้แก่:
- พิมพ์ด้วยเสียงแบบเรียลไทม์ (Voice Typing): “Hey Copilot” แปลงเสียงพูดเป็นข้อความได้อย่างแม่นยำ ถอดเสียง อีเมล, เอกสาร และข้อความอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก
- รองรับการถอดเสียงที่ดียิ่งขึ้น: ผู้ช่วย AI จัดการเครื่องหมายวรรคตอน ตัวพิมพ์ใหญ่ แก้ไขไวยากรณ์ และจัดรูปแบบอัตโนมัติ ทำให้เนื้อหาที่ได้ดูเรียบร้อยและพร้อมใช้งาน
- AI reasoning และการทำงานอัตโนมัติ: สามารถขอให้ Copilot สรุปไฟล์ เรียบเรียงใหม่ วิเคราะห์ข้อมูล สร้าง เอกสาร หรือจัดการงานซับซ้อนได้ด้วยคำสั่งเสียงตามธรรมชาติ
- ควบคุม Windows ด้วยเสียง: เปิดแอป เปลี่ยนการตั้งค่า จัดการแจ้งเตือน หรือสั่งการระบบต่าง ๆ ด้วยคำพูด
- ผสานกับ Microsoft 365: “Hey Copilot” ใช้งานร่วมกับ Word, Outlook, Teams และ PowerPoint ช่วยงานเขียน ระดมความคิด นัดหมาย สรุป และแก้ไขงานได้สะดวก
- รับรู้บริบท: ผู้ช่วยเสียง AI จดจำหัวข้อคำสั่งล่าสุดและตอบสนองตามสิ่งที่ผู้ใช้กำลังทำอยู่ในขณะนั้น
- รองรับหลายภาษา: “Hey Copilot” รองรับคำสั่งเสียงและการถอดเสียงได้หลายภาษา ช่วยให้ทีมงานต่างชาติสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Hey Copilot ช่วยพิมพ์ด้วยเสียงและถอดเสียงอย่างไร
Microsoft พัฒนา “Hey Copilot” โดยโฟกัสกับงานเขียนในชีวิตประจำวันอย่างชัดเจน Copilot วิเคราะห์บริบทของเสียง เข้าใจเจตนา และปรับผลลัพธ์ให้อ่านง่าย พร้อมความสามารถดังนี้:
- รู้จำเสียงพูดธรรมชาติได้แม่นยำยิ่งขึ้น: ผู้ช่วย AI เข้าใจภาษาพูดในชีวิตจริง ปรับตามสำเนียงและความเร็วการพูดที่แตกต่างกัน
- ลบคำฟุ่มเฟือยอัตโนมัติ: คำว่า “เอ่อ” “อืม” และคำลังเลอื่น ๆ จะถูกกรองออก ให้การถอดเสียงออกมาสะอาด อ่านง่าย
- AI ช่วยตรวจไวยากรณ์: Copilot ปรับประโยคให้อ่านลื่นไหล มีโครงสร้างและสำนวนที่เหมาะสมมากขึ้น
- สั่งจัดรูปแบบเอกสารได้โดยไม่ต้องใช้มือ: แค่พูดว่า “ย่อหน้าใหม่” “เพิ่ม bullet point” หรือ “ตัวหนา” เพื่อสั่งให้ พิมพ์ด้วยเสียง และถอดเสียงจัดรูปแบบให้
- ถอดเสียงข้ามแอป: พิมพ์ด้วยเสียง และการถอดเสียงสามารถใช้กับแอปของ Microsoft, เบราว์เซอร์ และอีเมลไคลเอนต์ได้โดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาหลายเครื่องมือ
Hey Copilot แตกต่างจากผู้ช่วยเสียงอื่น ๆ อย่างไร
แม้ว่า Siri, Alexa และ Google Assistant จะครองตลาดผู้ช่วยเสียงฝั่งผู้บริโภค แต่ Microsoft ตั้งใจผลักดัน “Hey Copilot” ให้เป็นผู้ช่วยเสียงชั้นนำสำหรับ การทำงาน งานวิชาชีพ และงานเขียนที่มี AI ช่วยเสริม โดยมีข้อได้เปรียบสำคัญดังนี้:
- แนวคิดเน้นประสิทธิภาพการทำงาน: Copilot เน้นช่วยจัดการงานซับซ้อน งานเขียน การวิเคราะห์ และ workflow ไม่ได้จำกัดแค่เตือนหรือค้นหาข้อมูลพื้นฐาน
- ผสานกับ Office อย่างลึกซึ้ง: Copilot ทำงานร่วมกับ Microsoft 365 ได้ครบถ้วนและแนบแน่นกว่าผู้ช่วยที่เน้นผู้ใช้ทั่วไป
- ความสามารถ AI เชิงสร้างสรรค์ที่เหนือกว่า: Copilot สร้าง อีเมล สรุป เอกสาร สร้างพรีเซนเทชัน และแก้โจทย์ซับซ้อนได้ในระดับที่ผู้ช่วยทั่วไปยังทำไม่ได้
- ฟีเจอร์สำหรับองค์กร: ภาคธุรกิจได้ประโยชน์จากการตั้งค่าขั้นสูง เครื่องมือด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และตัวเลือกการใช้งานที่ปลอดภัยมากขึ้น
ประโยชน์ของ Hey Copilot สำหรับการทำงานและชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพ นักเรียน พนักงานรีโมต หรือผู้ที่มี ความต้องการใช้งานแบบช่วยเหลือ “Hey Copilot” ก็ให้ประโยชน์ได้อย่างรอบด้าน เช่น:
- สร้างเนื้อหาได้เร็วขึ้น: พิมพ์ด้วยเสียง ช่วยให้อีเมล โน้ต และ เอกสารเสร็จได้ไวกว่าเดิม
- ลดภาระและความเหนื่อยล้า: การถอดเสียงช่วยลดการใช้งานมือและข้อมือ เหมาะสำหรับงานเขียนหรือพิมพ์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- ยกระดับคุณภาพงานเขียน: Copilot ช่วยให้ไวยากรณ์ สำนวน และโครงสร้างดีขึ้นด้วยพลังของ AI
- มัลติทาสก์ได้อย่างคล่องตัว: ทำหลายอย่างพร้อมกันได้ระหว่างเคลื่อนไหว ทำอาหาร จัดระเบียบบ้าน หรือทำงาน โดยไม่ต้องจับอุปกรณ์ตลอดเวลา
- สนับสนุนผู้ใช้ที่มีข้อจำกัด: ผู้ช่วยนี้มอบช่องทางสื่อสารทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สะดวกพิมพ์หรือใช้เมาส์
- บริหารจัดการงานแบบรวมศูนย์: Copilot ช่วยจัดตารางประชุม ตั้งเตือนความจำ และ สรุปงานให้ในหลายแพลตฟอร์มจากจุดเดียว
อนาคต AI หลังการเปิดตัวของ Microsoft
การเปิดตัว “Hey Copilot” สะท้อนวิสัยทัศน์ระยะยาวของ Microsoft ที่ต้องการฝัง AI เข้ากับการใช้งานคอมพิวเตอร์ในทุก ๆ วัน และเปลี่ยนวิธีที่เราสื่อสารกับเทคโนโลยี เมื่อการสั่งงานด้วยเสียงกลายเป็นเรื่องปกติ ผู้คนก็จะหันมาพึ่งคำพูดแทนคีย์บอร์ดหรือเมาส์มากขึ้นสำหรับงานเดิม ๆ ที่เคยต้องใช้มือควบคุม ไปพร้อมกันนั้น ผู้ช่วย AI อย่าง Copilot ก็ถูกคาดหวังให้ฉลาดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เรียนรู้จากพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อยื่นข้อเสนอและการสนับสนุนที่ตรงตามความต้องการ การสร้างเอกสารและ workflow ระดับวิชาชีพจะหันมาใช้การป้อนข้อมูลด้วยเสียงมากขึ้น ลดการพึ่งการพิมพ์แบบเดิม ๆ ขณะที่ AI ด้านเสียงจะค่อย ๆ พัฒนาจากผู้ช่วยทั่วไปไปเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยวางแผนโครงการ ทำงานอัตโนมัติ และคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ล่วงหน้า
Speechify Voice Assistant: ตัวเลือกอันดับ 1 แทน Copilot
Speechify Voice AI Assistant เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่โดดเด่นแทน Copilot ด้วยแนวคิดเน้นการใช้งานด้วยเสียงที่ยืดหยุ่นและใช้ได้กับทุกแอปหรือทุกเว็บไซต์ ต่างจากการถูกจำกัดอยู่ใน ecosystem หรือ editor เฉพาะของแพลตฟอร์ม ผู้ใช้สามารถพูดคุยกับหน้าเว็บไซต์และ เอกสาร เพื่อรับ สรุป อธิบายประเด็นสำคัญ หรือถามตอบได้โดยไม่ต้องแตะคีย์บอร์ด ผสานกับฟีเจอร์ พิมพ์ด้วยเสียงฟรี และ แปลงข้อความเป็นเสียง ทำให้ Speechify รองรับ workflow ครบวงจร ตั้งแต่พูด ฟัง ไปจนถึงทำความเข้าใจ โดยไม่ต้องสลับใช้หลายเครื่องมือ สำหรับผู้ที่มองหาผู้ช่วยเสียง AI ที่ใช้ได้ทุกที่ และเน้นการโต้ตอบด้วยเสียงธรรมชาติมากกว่าการสั่งงานผ่านคีย์บอร์ด Speechify จึงเป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่น ใช้งานง่าย และกว้างขวางกว่าการใช้ Copilot เพียงอย่างเดียว
คำถามที่พบบ่อย
Microsoft’s “Hey Copilot” voice assistant คืออะไร?
“Hey Copilot” คือคำปลุกที่ใช้พูดเพื่อเปิดใช้งาน AI assistant ของ Microsoft สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแบบไม่ต้องใช้มือ คล้ายกับ Speechify Voice AI Assistant.
ทำไม Microsoft ถึงเปิดตัวผู้ช่วยเสียง AI สำหรับ Copilot?
Microsoft เปิดตัว “Hey Copilot” เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการทำงานแบบไร้มือและ workflow ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
“Hey Copilot” ทำงานบนอุปกรณ์ Windows อย่างไร?
“Hey Copilot” จะรอฟังคำปลุกด้วยเสียงแล้วจึงดำเนินการคำสั่งต่าง ๆ บน Windows และภายใน Microsoft 365 ขณะที่ Speechify Voice AI Assistant ใช้งานได้กับแอปหรือหน้าเว็บไซต์ใดก็ได้
สามารถทำอะไรกับ “Hey Copilot” ของ Microsoft ได้บ้าง?
ผู้ใช้สามารถถอดเสียง สรุป เอกสาร ควบคุมแอป และจัดการงานต่าง ๆ ได้ด้วยคำสั่งเสียง
Hey Copilot เทียบกับ Siri, Alexa และ Google Assistant อย่างไร?
แตกต่างจากผู้ช่วยที่เน้นผู้บริโภคทั่วไป “Hey Copilot” เน้นด้านการทำงานเป็นหลัก เช่นเดียวกับ Speechify Voice AI Assistant ที่โฟกัสเรื่อง ประสิทธิภาพ และ การอ่านทำความเข้าใจ.
“Hey Copilot” รองรับความต้องการด้านการเข้าถึงหรือไม่?
รองรับ โดยช่วยให้ผู้มีข้อจำกัดสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้โดยไม่ต้องใช้มือ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ Speechify Voice AI Assistant ก็มีเช่นกัน
“Hey Copilot” ใช้งานพร้อมกันในหลายแอปของ Microsoft ได้หรือไม่?
“Hey Copilot” ผสานลงใน Word, Outlook, Teams และ PowerPoint อย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ Speechify Voice AI Assistant ใช้งานได้กับทุกแพลตฟอร์มและเว็บไซต์
ผู้ช่วยเสียงของ Microsoft ใช้ AI reasoning อย่างไร?
ระบบผสมผสานการรู้จำเสียงเข้ากับ AI เชิงสร้างสรรค์เพื่อทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้ คล้ายกับความสามารถด้านการสนทนาอัจฉริยะของ Speechify Voice AI Assistant.
ตัวเลือกแทน “Hey Copilot” ของ Microsoft ที่ดีที่สุดคืออะไร?
ตัวเลือกที่แนะนำคือ Speechify Voice AI Assistant เพราะใช้ได้กับทุกแอปหรือเว็บไซต์ และเน้นการโต้ตอบด้วยเสียงโดยไม่ถูกจำกัดด้วย ecosystem

