1. หน้าแรก
  2. TTSO
  3. Neural TTS vs. Concatenative vs. Parametric TTS
TTSO

Neural TTS vs. Concatenative vs. Parametric TTS

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง
ให้ Speechify อ่านให้คุณฟัง

apple logoรางวัล Apple Design Award 2025
ผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน

Neural TTS vs. Concatenative TTS vs. Parametric TTS: เรื่องที่นักพัฒนาควรรู้

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ text to speech ได้เปลี่ยนวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับเนื้อหาดิจิทัล ตั้งแต่ผู้ช่วยเสียงและ เครื่องมือเพื่อการเข้าถึง ไปจนถึง เกม งานบริการลูกค้า และ อีเลิร์นนิงtext to speech กลายเป็นส่วนสำคัญของซอฟต์แวร์ยุคใหม่ ทว่าระบบ text to speech ไม่ได้เหมือนกันไปหมด คู่มือนี้อธิบายการทำงานของระบบแบบ neural, concatenative และ parametric เพื่อช่วยให้คุณเลือกสิ่งที่ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด 

Text to Speech คืออะไร?

Text to speech (TTS) คือกระบวนการแปลงข้อความตัวอักษรให้เป็นเสียงพูดด้วยแบบจำลองคอมพิวเตอร์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทคโนโลยี TTS ได้พัฒนามาจากระบบที่อิงกฎไปสู่โครงข่ายประสาทเทียมที่ขับเคลื่อนด้วย AI พร้อมยกระดับความเป็นธรรมชาติ ความชัดเจน และประสิทธิภาพอย่างก้าวกระโดด

ระบบ TTS แบ่งหลัก ๆ ได้ 3 ประเภท:

Concatenative TTS

Concatenative text to speech ใช้คลิปเสียงพูดของมนุษย์ที่บันทึกไว้ล่วงหน้าเก็บในฐานข้อมูล แล้วนำมาต่อเรียงแบบเรียลไทม์เพื่อสร้างคำและประโยค วิธีนี้ให้เสียงที่ชัดและเป็นธรรมชาติได้ในหลายกรณี แต่จะสะดุดเมื่อจุดต่อระหว่างการบันทึกไม่เนียน

Parametric TTS

Parametric text to speech สร้างเสียงด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของเสียงมนุษย์ อาศัยพารามิเตอร์ เช่น โทนเสียง ระยะเวลา และลักษณะสเปกตรัม วิธีนี้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง แต่บ่อยครั้งต้องแลกกับความเป็นธรรมชาติ ทำให้เสียงฟังดูแข็งทื่อคล้ายหุ่นยนต์

Neural TTS

Neural text to speech ใช้สถาปัตยกรรมการเรียนรู้เชิงลึกเพื่อสร้างคลื่นเสียงจากข้อความโดยตรง ให้เสียงที่เป็นธรรมชาติและใส่อารมณ์ได้มาก ระบบเหล่านี้สามารถจับน้ำหนักคำ จังหวะ ทำนอง และแม้แต่อารมณ์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน

Concatenative TTS: มาตรฐานยุคบุกเบิก

Concatenative TTS เป็นหนึ่งในแนวทางแรก ๆ ที่นำไปใช้เชิงพาณิชย์ในการสังเคราะห์เสียง

การทำงานของ Concatenative TTS

ระบบ concatenative ทำงานโดยเลือกท่อนเสียงที่บันทึกไว้ล่วงหน้า เช่น โฟนีม พยางค์ หรือคำ แล้วนำมาประกอบเป็นประโยคสมบูรณ์ เนื่องจากชิ้นส่วนเหล่านี้มาจากการบันทึกเสียงมนุษย์จริง จึงมักให้โทนเสียงที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติเมื่อจัดเรียงได้เหมาะสม

ข้อดีของ Concatenative TTS 

Concatenative TTS ให้เสียงที่เป็นธรรมชาติและฟังเข้าใจง่ายในภาษาและสไตล์เสียงเฉพาะ โดยเฉพาะเมื่อฐานข้อมูลมีขนาดใหญ่และจัดระเบียบดี เพราะอิงจากการบันทึกของมนุษย์จริง จึงมักคงความชัดและความถูกต้องของการออกเสียงไว้ได้ดี

ข้อจำกัดของ Concatenative TTS

ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของระบบ concatenative คือความยืดหยุ่นต่ำ ปรับโทน เสียง หรือสไตล์การพูดได้ไม่มาก และรอยต่อระหว่างชิ้นเสียงมักฟังดูไม่เนียน นอกจากนี้ ความต้องการพื้นที่จัดเก็บมหาศาลสำหรับฐานข้อมูลเสียงขนาดใหญ่ยังทำให้การขยายระบบทำได้ยาก

กรณีใช้งานของ TTS แบบต่อชิ้นเสียง (Concatenative TTS)

Concatenative TTS ถูกใช้อย่างแพร่หลายในระบบนำทาง GPS รุ่นแรก เมนู IVR ทางโทรศัพท์ และเครื่องมือด้านการเข้าถึง เพราะให้คุณภาพที่น่าพอใจในยุคที่ตัวเลือกอื่นยังมีจำกัด

TTS แบบพารามิเตอร์: ยืดหยุ่นกว่า แต่ยังไม่เป็นธรรมชาติเท่า

Parametric TTS เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ข้อจำกัดของระบบแบบต่อชิ้นเสียง

การทำงานของ TTS แบบพารามิเตอร์

ระบบแบบพารามิเตอร์ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สร้างเสียงพูดจากพารามิเตอร์เชิงสัทศาสตร์และภาษาศาสตร์ แทนการตัดต่อบันทึกเสียงจริง แบบจำลองเหล่านี้สังเคราะห์เสียงโดยปรับพารามิเตอร์อย่าง ระดับเสียง (pitch) ระยะเวลา และฟอร์แมนต์ (formants)

ข้อดีของ TTS แบบพารามิเตอร์

Parametric TTS ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยกว่าระบบต่อชิ้นเสียงอย่างมาก เพราะไม่ต้องเก็บบันทึกเสียงเป็นพัน ๆ คลิป อีกทั้งยังยืดหยุ่นกว่า ทำให้ผู้พัฒนาปรับลักษณะเสียงได้แบบไดนามิก เช่น ความเร็วในการพูดหรือโทนเสียง

ข้อจำกัดของ TTS แบบพารามิเตอร์

แม้ระบบพารามิเตอร์จะมีประสิทธิภาพ แต่เสียงที่ได้มักขาดการเน้นสูงต่ำตามธรรมชาติ จังหวะ และอารมณ์ความรู้สึก ผู้ฟังมักบอกว่า Parametric TTS ฟังดูเหมือนหุ่นยนต์ แข็ง หรือแบนไร้มิติ จึงไม่เหมาะกับแอปพลิเคชันผู้บริโภคที่ต้องการความเป็นธรรมชาติสูง

กรณีใช้งานของ TTS แบบพารามิเตอร์

Parametric TTS ถูกใช้อย่างแพร่หลายในผู้ช่วยดิจิทัลรุ่นแรกและซอฟต์แวร์ด้านการศึกษา ปัจจุบันยังมีประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่ทรัพยากรจำกัด ซึ่งประสิทธิภาพทางคอมพิวเตอร์สำคัญกว่าความสมจริงของเสียง

Neural TTS: มาตรฐานในปัจจุบัน

Neural TTS เป็นเทคโนโลยีการเปลี่ยนข้อความเป็นเสียงรุ่นล่าสุดและล้ำหน้าที่สุด

การทำงานของ Neural TTS

ระบบเชิงประสาทใช้แบบจำลองการเรียนรู้เชิงลึก เช่น เครือข่ายประสาทซ้ำ (RNN) เครือข่ายคอนโวลูชัน (CNN) หรือสถาปัตยกรรมแบบทรานส์ฟอร์เมอร์ เพื่อสร้างรูปคลื่นเสียงโดยตรงจากข้อความหรือคุณลักษณะภาษาศาสตร์แบบกลาง โมเดลที่มีชื่อเสียง เช่น Tacotron, WaveNet และ FastSpeech กลายเป็นมาตรฐานอ้างอิงสำหรับ Neural TTS.

ข้อดีของ Neural TTS

Neural TTS สร้างเสียงที่เป็นธรรมชาติและสื่ออารมณ์ได้อย่างน่าทึ่ง จับความแปรผันของโพรโซดี จังหวะ และแม้แต่บรรยากาศความรู้สึกได้ ผู้พัฒนาสามารถสร้างเสียงเฉพาะ ปรับสไตล์การพูดหลากหลาย และรองรับหลายภาษาได้อย่างแม่นยำ

ข้อจำกัดของ Neural TTS

ความท้าทายหลักของ Neural TTS คือค่าใช้จ่ายในการประมวลผลและความหน่วงการตอบสนอง การฝึกโมเดลเชิงประสาทต้องใช้ทรัพยากรอย่างมาก แม้ความเร็วในการอนุมาน (inference) จะดีขึ้นมากแล้ว แอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์อาจยังต้องการการปรับแต่งเพิ่มเติม หรือพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานบนคลาวด์

กรณีใช้งานของ Neural TTS

Neural TTS ขับเคลื่อนผู้ช่วยเสียงสมัยใหม่ เช่น Siri, Alexa และ Google Assistant นอกจากนี้ยังใช้ในการบรรยายใน e-learning การพากย์ในวงการบันเทิง แพลตฟอร์มด้านการเข้าถึง และแอปพลิเคชันสำหรับองค์กรที่ต้องการความเป็นธรรมชาติและการถ่ายทอดอารมณ์สูง

การเปรียบเทียบระหว่าง Concatenative, Parametric และ Neural TTS

สำหรับนักพัฒนา การจะเลือกใช้ระบบ text to speech นั้นขึ้นอยู่กับกรณีใช้งาน โครงสร้างพื้นฐาน และความคาดหวังของผู้ใช้

  • คุณภาพเสียง: Concatenative TTS ให้เสียงค่อนข้างเป็นธรรมชาติแต่ติดข้อจำกัดที่คลังเสียง, ส่วนแบบ parametric TTS เสียงชัดเจนแต่โทนออกแนวหุ่นยนต์ ขณะที่แบบ neural TTS ให้เสียงแทบจะแยกไม่ออกจากมนุษย์พูดจริง
  • ความสามารถในการขยายระบบ: ระบบ concatenative ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บจำนวนมากสำหรับคลังเสียง, ระบบ parametric เบาแต่คุณภาพตกยุค ส่วน neural TTS สเกลง่ายผ่าน API บนคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่
  • ความยืดหยุ่น: Neural TTS ยืดหยุ่นสูงสุด โคลนเสียงได้ รองรับหลายภาษา และถ่ายทอดอารมณ์กับโทนเสียงได้หลากหลาย ขณะที่แบบ concatenative และ parametric ปรับตัวได้น้อยกว่า
  • พิจารณาด้านประสิทธิภาพ: Parametric TTS ทำงานได้ดีบนสภาพแวดล้อมที่พลังประมวลผลจำกัด แต่สำหรับแอปสมัยใหม่ที่ต้องการเสียงคุณภาพสูง neural TTS มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า

สิ่งที่นักพัฒนาควรคำนึงถึงก่อนเลือก TTS

เมื่อนำ text to speech มาใช้งาน นักพัฒนาควรประเมินความต้องการของโปรเจกต์ให้รอบคอบ

  • ข้อกำหนดด้านความหน่วงเวลา: นักพัฒนาควรพิจารณาว่าแอปต้องสร้างเสียงแบบเรียลไทม์หรือไม่ เพราะงานอย่าง gaming, ปัญญาประดิษฐ์เชิงบทสนทนา และ accessibility มักต้องพึ่งพา neural TTS ที่หน่วงต่ำ
  • ความต้องการด้านการขยายตัว: ทีมควรประเมินว่า API TTS บนคลาวด์รองรับการสเกลอย่างรวดเร็วสำหรับผู้ใช้ทั่วโลกได้หรือไม่ โดยต้องชั่งกับโครงสร้างพื้นฐานและต้นทุน
  • ตัวเลือกการปรับแต่งเสียง: บริการ TTS สมัยใหม่มักเปิดให้นักพัฒนาสร้างเสียงประจำแบรนด์ โคลนโทนเสียงผู้พูด และปรับสไตล์การพูด ซึ่งล้วนส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้และความสอดคล้องของแบรนด์
  • การรองรับหลายภาษา: แอประดับโลกอาจต้องรองรับหลายภาษา นักพัฒนาควรตรวจสอบว่าโซลูชัน TTS ที่เลือกครอบคลุมภาษาหรือระบบอักษรที่ต้องการหรือไม่
  • ข้อกำหนดด้านการปฏิบัติตามและ accessibility: องค์กรควรยืนยันว่าการใช้งาน TTS เป็นไปตามมาตรฐานการเข้าถึง เช่น WCAG และ ADA เพื่อครอบคลุมผู้ใช้ทุกกลุ่ม
  • การแลกเปลี่ยนระหว่างต้นทุนและประสิทธิภาพ: แม้ neural TTS จะให้คุณภาพสูงสุด แต่มักต้องใช้ทรัพยากรมากกว่า นักพัฒนาต้องชั่งน้ำหนักคุณภาพเสียงกับงบและข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน

อนาคตของ TTS อยู่ที่ Neural

Text to speech พัฒนาก้าวกระโดดจากยุคต่อเสียงแบบเย็บต่อ ระบบ concatenative ปูรากฐานไว้ ระบบ parametric เพิ่มความยืดหยุ่น และ neural TTS ยกระดับมาตรฐานความคาดหวังด้วยเสียงที่สมจริงและถ่ายทอดอารมณ์ได้เป็นธรรมชาติ

สำหรับนักพัฒนา ตอนนี้ทางเลือกที่เด่นชัดคือ TTS แบบนิวรัล โดยเฉพาะกับแอปที่ต้องการเสียงเป็นธรรมชาติ สเกลได้ และรองรับหลายภาษา อย่างไรก็ตาม การทำความเข้าใจที่มาและการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของระบบแบบเชื่อมต่อชิ้นเสียง (concatenative) และแบบพาราเมตริก จะช่วยให้ผู้พัฒนาเห็นภาพวิวัฒนาการของเทคโนโลยี และใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเมื่อต้องทำงานกับระบบเดิม (legacy)

เพลิดเพลินกับเสียง AI ที่ล้ำสมัยที่สุด ไฟล์ไม่จำกัด และการสนับสนุนตลอด 24/7

ทดลองฟรี
tts banner for blog

แชร์บทความนี้

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

คลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมน เป็นผู้ขับเคลื่อนสิทธิผู้มีภาวะดิสเล็กเซีย และดำรงตำแหน่งซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Speechify แอปแปลงข้อความเป็นเสียงอันดับ 1 ของโลก ที่กวาดรีวิว 5 ดาวกว่า 100,000 รายการ และเคยครองอันดับ 1 ใน App Store หมวดข่าวสารและนิตยสาร ในปี 2017 ไวท์ซ์แมนติดโผ Forbes 30 Under 30 จากผลงานผลักดันให้โลกออนไลน์เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผลงานของคลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมนถูกกล่าวถึงในสื่อชั้นนำอย่าง EdSurge, Inc., PC Mag, Entrepreneur, Mashable และอีกมากมาย

speechify logo

เกี่ยวกับ Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง

Speechify เป็นแพลตฟอร์ม แปลงข้อความเป็นเสียง ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน และได้รับรีวิวระดับ 5 ดาวมากกว่า 500,000 รีวิวในแอปพลิเคชัน iOS, Android, Chrome Extension, เว็บแอป และ แอปบน Mac ในปี 2025 Apple ได้มอบรางวัล Apple Design Award อันทรงเกียรติให้กับ Speechify ในงาน WWDC โดยกล่าวว่าเป็น “ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” Speechify มีเสียงธรรมชาติกว่า 1,000 เสียงใน 60+ ภาษา และมีผู้ใช้งานในเกือบ 200 ประเทศ เสียงคนดังที่มีให้เลือกใช้งาน เช่น Snoop Dogg, Mr. Beast และ Gwyneth Paltrow สำหรับผู้สร้างสรรค์และธุรกิจ Speechify Studio มีเครื่องมือขั้นสูง เช่น AI Voice Generator, AI Voice Cloning, AI Dubbing และ AI Voice Changer Speechify ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้วย Text to Speech API ที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า นอกจากนี้ยังได้รับการนำเสนอใน The Wall Street Journal, CNBC, Forbes, TechCrunch และสื่อชั้นนำอื่น ๆ Speechify เป็นผู้ให้บริการแปลงข้อความเป็นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยี่ยมชม speechify.com/news, speechify.com/blog และ speechify.com/press เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม