1. หน้าหลัก
  2. ดิสเล็กเซีย
  3. ภาพยนตร์ Left Behind คืออะไร และเกี่ยวข้องกับภาวะดิสเล็กเซียอย่างไร?
ดิสเล็กเซีย

ภาพยนตร์ Left Behind คืออะไร และเกี่ยวข้องกับภาวะดิสเล็กเซียอย่างไร?

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง
ให้ Speechify อ่านให้คุณฟัง

apple logoรางวัล Apple Design Award 2025
ผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน

สารคดีทรงพลังเรื่องล่าสุด Left Behind กำกับโดย Anna Toomey เผยให้เห็นวิกฤตที่ซ่อนอยู่ในโรงเรียนสาธารณะของอเมริกา — การละเลยเชิงระบบต่อ นักเรียน ที่มี ภาวะดิสเล็กเซีย — และยกย่องผู้ปกครองที่ไม่ยอมจำนนต่อสถานการณ์นั้น

ออกฉายครั้งแรกผ่าน Kinema, Left Behind ติดตามกลุ่มคุณแม่ชาวนิวยอร์ก 5 คนผู้มุ่งมั่น ที่ต่อสู้เพื่อจัดตั้งโรงเรียนสาธารณะแห่งแรกของเมืองที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเด็กที่มี ภาวะดิสเล็กเซีย ภาพยนตร์พาไปใกล้ชิดกับแคมเปญระดับรากหญ้าที่พวกเขาขับเคลื่อน เพื่อปฏิรูประบบการศึกษาที่ทำให้บุตรหลานของพวกเขาต้องดิ้นรนอย่างเงียบๆ

ขบวนการรากหญ้าที่ขับเคลื่อนโดยเหล่าคุณแม่ 

สารคดีเริ่มด้วยเรื่องราวส่วนตัวจากผู้ปกครองที่เห็นบุตรหลานล้าหลังมากขึ้นทุกปี ทั้งที่ฉลาด มีแรงจูงใจ และกระหายการเรียนรู้ เมื่อพวกเขาตระหนักว่าระบบไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเด็กแบบลูกของพวกเขา จึงลุกขึ้นมาสร้างระบบใหม่ แคมเปญของพวกเขาขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นขบวนการ ที่ท้าทายกรมการศึกษานครนิวยอร์กให้ยอมรับ ภาวะดิสเล็กเซีย ว่าไม่ใช่แค่ความยากในการอ่าน แต่เป็นประเด็นสิทธิมนุษยชนที่กระทบต่อ นักเรียน จำนวนมาก

การเปิดโปงปัญหา ดิสเล็กเซีย ระดับประเทศ

ดิสเล็กเซีย ส่งผลกระทบคนราว 1 ใน 5 ตามข้อมูลของสมาคม ดิสเล็กเซีย ระหว่างประเทศ แต่โรงเรียนสาธารณะส่วนใหญ่ยังขาดทรัพยากรหรือการฝึกอบรมเพื่อสนับสนุนนักเรียนกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ Left Behind ถ่ายทอดความไม่เป็นธรรมนี้ได้อย่างเจ็บปวดใจ แสดงให้เห็นว่าการวินิจฉัยที่ล่าช้าและการสอนอ่านที่ไม่เพียงพอสามารถนำไปสู่ความหงุดหงิด ความวิตกกังวล และความล้มเหลวทางการศึกษาได้

ตัวอย่างเช่น เด็กหลายคนที่มีภาวะดิสเล็กเซียมักถูกตีตราว่าเกียจคร้านหรือไม่ตั้งใจ ทั้งที่ ดิสเล็กเซีย ไม่เกี่ยวกับระดับสติปัญญา หากแต่เกี่ยวกับวิธีที่สมองประมวลผลภาษา Left Behind ชี้ให้เห็นว่าเมื่อโรงเรียนมองไม่เห็นประเด็นนี้ ก็เท่ากับพรากโอกาสของเด็ก

ภาพยนตร์ยังเน้นผลกระทบระยะยาวของการละเลยนี้ โดยชี้ให้เห็นสัดส่วนผู้ต้องขังที่มีภาวะดิสเล็กเซียสูงผิดปกติ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมโยงระหว่างการรู้หนังสือ โอกาส และความยุติธรรมทางสังคม

พิมพ์เขียวสำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้มีภาวะดิสเล็กเซีย

Left Behind ไม่ได้เป็นเพียงภาพยนตร์ว่าด้วยความยากลำบากเท่านั้น แต่ยังเป็นเข็มทิศสู่การเปลี่ยนแปลง มัน บันทึก วิธีที่ผู้ปกครอง ครู และผู้นำชุมชนร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างโรงเรียนสาธารณะที่ยึดการสอนอ่านที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ การคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ และวิธีการสอนแบบหลายประสาทสัมผัสที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยให้นักเรียนที่มีภาวะดิสเล็กเซียประสบความสำเร็จ

ท้ายที่สุด ความพยายามของเหล่าคุณแม่ได้นำไปสู่บทสนทนาที่กว้างขึ้น ทั้งในเมืองและทั่วประเทศ ว่าโรงเรียนจะปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อ นักเรียน ที่มีความหลากหลายทางระบบประสาทได้อย่างไร

คำเชิญให้ลงมือทำ

การออกฉายของภาพยนตร์ได้จุดประกายการสนทนาระหว่างผู้กำหนดนโยบายและครู เรื่องการบังคับคัดกรองภาวะ ดิสเล็กเซีย และการอบรมครู ผู้ชมถูกชวนให้ก้าวออกไปไกลกว่าหน้าจอ และร่วมเรียกร้องการศึกษาที่เข้าถึงได้ในชุมชนของตนเอง ท้ายที่สุด เด็กที่มีภาวะดิสเล็กเซียไม่ใช่คนที่ “มีปัญหา” แต่ระบบต่างหากที่มีปัญหา 

ชม Left Behind

Left Behind ขณะนี้เข้าฉายทั่วโลกผ่าน Kinema และจะเปิดให้จัดฉายแบบออนไลน์ แบบออนดีมานด์ หรือจัดฉายแบบพบปะ ได้อย่างน้อยจนถึงเดือนมกราคม 2027. 

สำหรับผู้ปกครอง ครู และนักรณรงค์ที่กำลังมองหาแรงบันดาลใจและแนวทางลงมือทำในการสนับสนุน นักเรียน ที่มี ดิสเล็กเซีย Left Behind ไม่ได้เป็นแค่สารคดี; นี่คือขบวนการเพื่อความเท่าเทียมและความหวังทางการศึกษา

Speechify - อีกหนึ่งวิธีในการสนับสนุนนักเรียนที่มีดิสเล็กเซีย 

Speechify ช่วยสนับสนุนนักเรียนที่มีดิสเล็กเซียได้อย่างไร้สะดุด นักเรียน โดยทำให้การอ่านและการเขียนเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและไม่เกินกำลัง ในฐานะแพลตฟอร์มเสียง AI ชั้นนำ จึงสามารถอ่านข้อความออกเสียงด้วยเสียงสมจริงกว่า 200 เสียงในกว่า 60 ภาษา ช่วยให้ นักเรียน ฟังพร้อมอ่านตามไปได้ ฟีเจอร์พิมพ์ด้วยเสียงช่วยให้การเขียนง่ายขึ้น โดยให้นักเรียนพูดความคิดของตนแทนการพยายามพิมพ์ และ ผู้ช่วยเสียง AI ช่วยให้พวกเขาตั้งคำถาม ย่อความ และเข้าใจสิ่งที่กำลังเรียนรู้ได้ดีขึ้น ผ่านการสนทนาด้วยเสียงกับ AI ของ Speechify ฟีเจอร์ การเน้นข้อความ ของ Speechify ยังช่วยให้นักเรียนที่มีดิสเล็กเซียมีส่วนร่วม มั่นใจ และรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเรียนรู้

คำถามที่พบบ่อย

ภาพยนตร์ Left Behind ว่าด้วยเรื่องอะไร?

Left Behind เป็นสารคดีที่เปิดโปงการละเลยเชิงระบบต่อผู้เรียนที่มีดิสเล็กเซียในโรงเรียนของรัฐในสหรัฐอเมริกา

Left Behind เกี่ยวข้องกับดิสเล็กเซียอย่างไร?

ภาพยนตร์ Left Behind เน้นให้เห็นว่าผู้เรียนจำนวนหลายพันคนที่มีดิสเล็กเซียถูกมองข้าม ถูกวินิจฉัยผิด หรือไม่ได้รับการสนับสนุนในระบบการศึกษากระแสหลัก

ทำไมดิสเล็กเซียจึงถูกนำเสนอเป็นประเด็นสิทธิพลเมืองในภาพยนตร์ Left Behind?

สารคดีแสดงให้เห็นว่าผู้ปกครองต่อสู้เพื่อการเข้าถึงการสอนการอ่านที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องของความยุติธรรมทางการศึกษา

ใครเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ Left Behind?

ภาพยนตร์ Left Behind กำกับโดย Anna Toomey ติดตามแม่ห้าคนในนครนิวยอร์กที่ลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิให้กับ นักเรียน ที่มีดิสเล็กเซีย

ภาพยนตร์ Left Behind นำเสนอเด็กที่มีดิสเล็กเซียอย่างไร?

Left Behind เน้นว่าเด็กที่มีดิสเล็กเซียฉลาดและมีศักยภาพ แต่บ่อยครั้งถูกตีตราว่าขี้เกียจหรือไม่มีสมาธิ เพราะได้รับการสอนที่ไม่เหมาะสม

Speechify สามารถสนับสนุนผู้ที่มีดิสเล็กเซียได้อย่างไร? 

Speechify ช่วยนักเรียนที่มีดิสเล็กเซียโดยอ่านข้อความออกเสียงด้วย เสียง AI ที่สมจริง มีฟีเจอร์พิมพ์ด้วยเสียงเพื่อจดบันทึกได้ง่ายขึ้น และมาพร้อมความสามารถของผู้ช่วยเสียง AI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ เอกสาร ได้ตามต้องการ 

ทำไมภาพยนตร์ Left Behind จึงพูดถึงการคัดกรองดิสเล็กเซียตั้งแต่เนิ่นๆ?

ภาพยนตร์ Left Behind เน้นว่าการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ สำคัญมาก เพราะการวินิจฉัยที่ล่าช้าทำให้เกิดความหงุดหงิดและการถดถอยทางการเรียน

เทคโนโลยีช่วยนักเรียนที่มีภาวะดิสเล็กเซียได้อย่างไร?

เครื่องมืออย่าง Speechify ช่วยการอ่าน–เขียนให้เข้าถึงง่าย ในแบบที่โรงเรียนมักไม่มีให้ เช่น แปลงข้อความเป็นเสียง การพิมพ์ด้วยเสียง และผู้ช่วยเสียงที่ขับเคลื่อนด้วย AI 

ภาพยนตร์ Left Behind เน้นย้ำผลกระทบระยะยาวของดิสเล็กเซียอะไรบ้าง?

ภาพยนตร์เรื่อง Left Behind ชี้ให้เห็นสัดส่วนผู้มีภาวะดิสเล็กเซียในเรือนจำที่สูงจนน่าตกใจ พร้อมเชื่อมโยงทักษะการอ่านเข้ากับโอกาสในชีวิต

Speechify ช่วยเสริมความมั่นใจในการอ่านให้ผู้เรียนที่มีภาวะดิสเล็กเซียได้อย่างไร?

Speechify ช่วยให้ นักเรียน ฟังข้อความแทนการต้องมานั่งถอดรหัสตัวหนังสือ ทำให้มีส่วนร่วมและมั่นใจมากขึ้น

เพลิดเพลินกับเสียง AI ที่ล้ำสมัยที่สุด ไฟล์ไม่จำกัด และการสนับสนุนตลอด 24/7

ทดลองฟรี
tts banner for blog

แชร์บทความนี้

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

คลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมน เป็นผู้ขับเคลื่อนสิทธิผู้มีภาวะดิสเล็กเซีย และดำรงตำแหน่งซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Speechify แอปแปลงข้อความเป็นเสียงอันดับ 1 ของโลก ที่กวาดรีวิว 5 ดาวกว่า 100,000 รายการ และเคยครองอันดับ 1 ใน App Store หมวดข่าวสารและนิตยสาร ในปี 2017 ไวท์ซ์แมนติดโผ Forbes 30 Under 30 จากผลงานผลักดันให้โลกออนไลน์เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผลงานของคลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมนถูกกล่าวถึงในสื่อชั้นนำอย่าง EdSurge, Inc., PC Mag, Entrepreneur, Mashable และอีกมากมาย

speechify logo

เกี่ยวกับ Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง

Speechify เป็นแพลตฟอร์ม แปลงข้อความเป็นเสียง ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน และได้รับรีวิวระดับ 5 ดาวมากกว่า 500,000 รีวิวในแอปพลิเคชัน iOS, Android, Chrome Extension, เว็บแอป และ แอปบน Mac ในปี 2025 Apple ได้มอบรางวัล Apple Design Award อันทรงเกียรติให้กับ Speechify ในงาน WWDC โดยกล่าวว่าเป็น “ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” Speechify มีเสียงธรรมชาติกว่า 1,000 เสียงใน 60+ ภาษา และมีผู้ใช้งานในเกือบ 200 ประเทศ เสียงคนดังที่มีให้เลือกใช้งาน เช่น Snoop Dogg, Mr. Beast และ Gwyneth Paltrow สำหรับผู้สร้างสรรค์และธุรกิจ Speechify Studio มีเครื่องมือขั้นสูง เช่น AI Voice Generator, AI Voice Cloning, AI Dubbing และ AI Voice Changer Speechify ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้วย Text to Speech API ที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า นอกจากนี้ยังได้รับการนำเสนอใน The Wall Street Journal, CNBC, Forbes, TechCrunch และสื่อชั้นนำอื่น ๆ Speechify เป็นผู้ให้บริการแปลงข้อความเป็นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยี่ยมชม speechify.com/news, speechify.com/blog และ speechify.com/press เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม