1. หน้าหลัก
  2. การพิมพ์ด้วยเสียง
  3. ประวัติของการถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงมีที่มาอย่างไร?

ประวัติของการถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงมีที่มาอย่างไร?

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง
ให้ Speechify อ่านให้คุณฟัง

apple logoรางวัล Apple Design Award 2025
ผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน

การพิมพ์ด้วยเสียง และการถอดเสียง กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน, การเข้าถึงสำหรับผู้พิการ และการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ เรื่องราวของการพัฒนานี้มีมายาวนานหลายศตวรรษ ตั้งแต่ยุคที่มีเสมียนคอยบันทึกถ้อยคำจากการพูดลงบนกระดาษ parchment มาจนถึงวันนี้ที่มีระบบAI ถอดเสียงด้วยเสียง ที่เข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ การทำความเข้าใจประวัติของการถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงช่วยให้เราเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีที่พัฒนามาไกล และเข้าใจว่าทำไมเครื่องมือถอดเสียงสมัยใหม่จึงเชื่อถือได้ เข้าถึงง่าย และเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตของเราได้จริง นี่คือทุกสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับประวัติของการถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียง

จุดเริ่มต้นของการถอดเสียง: จากเสมียนมนุษย์สู่เครื่องกล

ก่อนมีเครื่องมือดิจิทัล การถอดเสียงต้องอาศัยแรงงานมนุษย์ล้วน ๆ ในอดีตเป็นอาชีพเฉพาะทางที่ต้องการความแม่นยำ ความรวดเร็ว และความน่าเชื่อถือ เสมียนผู้เชี่ยวชาญจะคอยบันทึกคำกล่าว สำนวนทางกฎหมาย จดหมาย และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ให้กับผู้นำ นักวิชาการ และวิชาชีพต่าง ๆ เมื่อความต้องการด้านความแม่นยำและประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ระบบการเขียนชวเลขจึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยให้เสมียนเขียนได้ไวขึ้นและจับภาษาพูดได้แม่นยำกว่าเดิม ปลายศตวรรษที่ 19 ก็เริ่มมีอุปกรณ์ถอดเสียงแบบเครื่องกล เช่น เครื่องบันทึกเสียงลงกระบอกแวกซ์รุ่นแรก ๆ เกิดขึ้น ทำให้สามารถบันทึกเสียงไว้ฟังภายหลังได้ และนับเป็นอีกก้าวสำคัญของเทคโนโลยีถอดเสียงยุคใหม่

ยุคทองของเครื่องถอดเสียงแบบอนาล็อก

ในศตวรรษที่ 20 การถอดเสียงเปลี่ยนจากกระบวนการที่ทำด้วยมือทั้งหมดไปสู่เทคโนโลยีแบบอนาล็อก ถือเป็นวิวัฒนาการครั้งใหญ่ในการบันทึกคำพูด การคิดค้นเครื่องเล่นเสียง phonograph ช่วยให้สามารถเก็บและเล่นเสียงพูดซ้ำได้ ทำให้การถอดเสียงไม่จำเป็นต้องทำขณะพูดอีกต่อไป แต่ย้ายไปทำทีหลังได้ การพัฒนานี้นำไปสู่การใช้เครื่องบันทึกเทปแม่เหล็กในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งให้เสียงคมชัดและเสถียรกว่า ช่วยให้การถอดเสียงของผู้พิมพ์น่าเชื่อถือมากขึ้น เริ่มมีเครื่องถอดเสียงแบบพกพาใช้กันอย่างกว้างขวาง ทำให้แพทย์ ทนายความ นักข่าว และอาชีพอื่น ๆ สามารถบันทึกความคิดได้ทุกที่ ส่งผลให้การทำงานเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ระบบถอดเสียงดิจิทัลยุคแรก ๆ

ระบบถอดเสียงดิจิทัลยุคแรกถือเป็นการก้าวกระโดด เมื่ออำนาจการประมวลผลของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีรู้จำเสียงพูดเริ่มเปลี่ยนวิธีประมวลผลเสียง ในทศวรรษ 1950 และ 60 ระบบทดลองยุคแรกจะรู้จำได้เพียงตัวเลขหรือคำศัพท์ไม่กี่คำ แต่พัฒนาการเหล่านี้ก็วางรากฐานสำคัญสำหรับการพิมพ์ด้วยเสียงอย่างแท้จริง ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 90 โปรแกรมถอดเสียงบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเริ่มมีใช้ โดยอาศัยโมเดลเชิงสถิติเพื่อรู้จำคำศัพท์ที่จำกัดและเฉพาะบุคคล ผู้ใช้ต้องฝึกระบบด้วยการอ่านข้อความยาว ๆ เพื่อให้ระบบปรับตัวกับเสียงพูดของแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ

ยุคแห่งความก้าวหน้าของการพิมพ์และถอดเสียงด้วยเสียง

ยุคแห่งความก้าวหน้าอย่างแท้จริงของการพิมพ์ด้วยเสียงและการถอดเสียงเริ่มต้นในช่วงปี 2000 เมื่อเทคโนโลยีการประมวลผลและแมชชีนเลิร์นนิงพัฒนาไปไกล Cloud computing ทำให้สามารถประมวลผลเสียงพูดได้แบบเรียลไทม์ ส่งผลให้ทั้งความเร็วและความแม่นยำเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะเดียวกัน neural network และการประมวลผลภาษาธรรมชาติช่วยยกระดับความสามารถในการรู้จำเสียงจนสามารถเข้าใจสำเนียงต่าง ๆ คำสั่งวรรคตอน และรูปแบบภาษาพูดในชีวิตจริงได้ ระบบการพิมพ์ด้วยเสียงจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วสู่สมาร์ทโฟน เบราว์เซอร์ และแอปต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เครื่องมือถอดเสียงทันสมัยเข้าถึงนักเรียน, มืออาชีพ และผู้พิการทั่วโลก

เครื่องมือถอดเสียงและพิมพ์ด้วยเสียง AI ยุคใหม่

เครื่องมือถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงยุคใหม่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ระดับสูงที่สามารถตีความเสียงพูด บริบท และไวยากรณ์ได้แม่นยำใกล้เคียงมนุษย์ ระบบเหล่านี้เข้าใจภาษาธรรมชาติและโต้ตอบได้อย่างลื่นไหล ผู้ใช้จึงถอดเสียงได้โดยไม่ต้องพูดช้าลงหรือเน้นทุกคำ ระบบยังช่วยแก้ไขไวยากรณ์และวรรคตอนให้อัตโนมัติ ลดเวลาในการแก้ไขเองและช่วยให้ข้อความดูเรียบร้อยยิ่งขึ้น ทุกวันนี้การพิมพ์ด้วยเสียงยังผสานเข้ากับผู้ช่วยอัจฉริยะ เครื่องมือถอดความ และแอปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ ทำให้การแปลงเสียงพูดเป็นข้อความบนอุปกรณ์และเวิร์กโฟลว์หลากหลายรูปแบบเป็นเรื่องง่าย

ประวัติย่อแบบลำดับเวลาของการถอดเสียงและพิมพ์ด้วยเสียง

การถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงเดินทางมาไกลจากจุดเริ่มต้นที่เรียบง่าย ลำดับเวลาคร่าว ๆ นี้จะแสดงจุดเปลี่ยนสำคัญที่หล่อหลอมโลกของการถอดเสียงยุคใหม่ และเปลี่ยนวิธีที่เราใช้สื่อสาร ทำงาน และสร้างสรรค์ผลงาน

ปลายศตวรรษที่ 1800 – จุดกำเนิดการถอดเสียงด้วยอะคูสติก

  • ปี 1877 – โฟโนกราฟของเอดิสัน: โทมัส เอดิสัน คิดค้นโฟโนกราฟแบบกระบอกแวกซ์เครื่องแรก ทำให้ผู้คนบันทึกเสียงพูดไว้ แล้วให้เลขานุการถอดความในภายหลังได้
  • ต้นศตวรรษที่ 1900 – เครื่องถอดเสียงแบบเครื่องกล: บริษัทต่าง ๆ เช่น Dictaphone และ Ediphone เปิดตัวอุปกรณ์ถอดเสียงที่มาแทนการจดบันทึกด้วยมือ ช่วยเร่งงานเอกสารในออฟฟิศ

ทศวรรษ 1950–1970 – กำเนิดการรู้จำเสียงของคอมพิวเตอร์

  • ปี 1952 – Bell Labs “Audrey”: Bell Labs สร้างระบบ Audrey ที่รู้จำเสียงพูดตัวเลข 0-9 ได้ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของวงการรู้จำเสียงพูด
  • 1962 – IBM Shoebox: IBM เปิดตัวคอมพิวเตอร์ Shoebox ที่รู้จำคำพูดได้ 16 คำ และคำนวณเลขพื้นฐานได้
  • ทศวรรษ 1960–1970 – งานวิจัยเทมเพลตแมตช์ชิ่ง: นักวิจัยพัฒนาระบบเทมเพลตแมตช์ชิ่งรุ่นแรก ๆ แต่ต้นแบบยังรู้จำศัพท์และความแม่นยำได้ค่อนข้างจำกัด

ทศวรรษ 1980–1990 – ซอฟต์แวร์ถอดเสียงเข้าสู่ตลาด

  • ทศวรรษ 1980 – โมเดลฮิดเดน มาร์คอฟ (HMMs): นักวิทยาศาสตร์นำเสนอโมเดล Hidden Markov ซึ่งช่วยยกระดับการวิเคราะห์เสียงด้วยแบบจำลองเชิงสถิติ
  • ปลายทศวรรษ 80 – คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเร็วขึ้น: ซีพียูสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีความเร็วสูงขึ้นทำให้การประมวลผลเสียงพูดแบบเรียลไทม์ที่บ้านเริ่มเป็นจริง
  • 1990 – Dragon Dictate: Dragon Dictate กลายเป็นโปรแกรมถอดเสียงเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางตัวแรก แต่ผู้ใช้ต้องพูดช้า ๆ และฝึกโปรแกรมอย่างจริงจัง
  • 1997 – Dragon NaturallySpeaking: Dragon NaturallySpeaking พลิกโฉมวงการด้วยการรองรับการถอดเสียงต่อเนื่อง ผู้ใช้พูดได้ตามปกติโดยไม่ต้องหยุดระหว่างคำ

ทศวรรษ 2000 – การถอดเสียงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการทำงาน

  • ต้นทศวรรษ 2000 – อัลกอริทึมเรียนรู้ของเครื่องดีขึ้น: การพัฒนาอัลกอริทึมแมชชีนเลิร์นนิงช่วยเพิ่มความแม่นยำ และขยายคลังคำศัพท์ได้มากขึ้น
  • ทศวรรษ 2000 – ไมโครโฟนคุณภาพสูงขึ้น: เทคโนโลยีไมโครโฟนที่ดีขึ้นให้สัญญาณเสียงเข้าใสชัดกว่า ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการถอดเสียง
  • ทศวรรษ 2000 – มืออาชีพนำไปใช้อย่างแพร่หลาย: ธุรกิจ บุคลากรสาธารณสุข นักเขียน และนักเรียน เริ่มใช้ซอฟต์แวร์ถอดเสียงเพื่อลดการพิมพ์เองและเร่งการสร้างเอกสาร

ทศวรรษ 2010 – ดีไวซ์พกพาเปลี่ยนโลกการพิมพ์ด้วยเสียง

  • 2011 – เปิดตัว Siri ของ Apple: Apple เปิดตัวSiri นำความสามารถในการสนทนาด้วยเสียงและถอดเสียงสู่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนนับล้าน
  • ทศวรรษ 2010 – Google Voice Typing: Google ขยายการพิมพ์ด้วยเสียงบนระบบคลาวด์ความเร็วสูงไปยังอุปกรณ์ Androidทั่วโลก เพิ่มโอกาสเข้าถึงการถอดเสียงที่แม่นยำให้กับผู้คนจำนวนมาก
  • ทศวรรษ 2010 – Microsoft Cortana: Microsoft ผนวก Cortana เข้ากับ Windows ให้ผู้ใช้ใช้งานการพิมพ์ด้วยเสียงและสั่งการแบบแฮนด์ฟรีได้
  • ทศวรรษ 2010 – Nuance ในวงการแพทย์: เครื่องมือเสียงของ Nuance กลายเป็นมาตรฐานในโรงพยาบาล ช่วยให้แพทย์และพยาบาลทำเอกสารด้วยเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทศวรรษ 2020 – AI ถอดเสียงที่ฉลาดเทียบเท่ามนุษย์

  • ต้นทศวรรษ 2020 – การประมวลผล AI แบบเรียลไทม์: โมเดล AI ขั้นสูงช่วยให้ถอดเสียงได้รวดเร็วและแม่นยำเป็นพิเศษ
  • วรรคตอนอัตโนมัติ – ฟอร์แมตธรรมชาติ: เอนจินถอดเสียงอัตโนมัติจะใส่วรรคตอน เช่น คอมม่าและจุด ลดความจำเป็นต้องแก้ไขเอง
  • ลบคำฟิลเลอร์ – ข้อความสะอาดขึ้น: ระบบ AI สามารถลบคำอย่าง “เอ่อ” หรือ “อ่า” จากข้อความ ทำให้ถอดความออกมาดูเรียบร้อยยิ่งขึ้น
  • เข้าใจตามบริบท – รู้จำได้ฉลาดขึ้น: เครื่องมือการพิมพ์ด้วยเสียงยุคใหม่เข้าใจบริบท น้ำเสียง และความหมาย ไม่ได้ดูแค่คำทีละคำ
  • รองรับหลายภาษา –การเข้าถึงระดับโลก: การถอดเสียงสมัยใหม่รองรับได้หลายสิบภาษาและสำเนียงอย่างแม่นยำ เปิดโอกาสให้คนหลากหลายกลุ่มเข้าถึงเทคโนโลยีนี้
  • ความเข้าใจเหมือนมนุษย์ – ความแม่นยำระดับเจ้าของภาษา: ระบบ AI รุ่นใหม่เข้าใจสำเนียง ความเร็วในการพูด และรายละเอียดแบบบทสนทนาได้ใกล้เคียงมนุษย์มาก

ทำไมการพิมพ์และถอดเสียงด้วยเสียงถึงสำคัญในยุคนี้

การพิมพ์ด้วยเสียงและการถอดเสียงมีความสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเรื่องประสิทธิภาพ, การเข้าถึงและความสะดวกในชีวิตประจำวัน รองรับผู้ที่มีภาวะดิสเล็กเซียหรือความแตกต่างด้านการเรียนรู้ ช่วยผู้มีภาวะสมาธิสั้น (ADHD)ให้โฟกัสดีขึ้น และช่วยเหลือผู้พิการทางร่างกายที่พิมพ์ได้ลำบาก มืออาชีพที่ต้องบริหารงานหลายอย่างพร้อมกันก็พึ่งพาAI ถอดเสียงด้วยเสียงเพื่อเร่งงานได้นักเรียนใช้บันทึกโน้ตขณะเดินทาง ส่วนคนเขียนงานและคอนเทนต์ครีเอเตอร์ใช้การพิมพ์ด้วยเสียงเพื่อเร่งขั้นตอนการทำงานของตัวเอง 

Speechify Voice Typing: เครื่องมือถอดเสียงฟรีที่ดีที่สุด 

Speechify Voice Typing คือโซลูชั่นเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่เน้นการใช้เสียงเป็นหลัก เพื่อช่วยให้คุณเขียน อ่าน และคิดได้เร็วขึ้นด้วยเสียงของคุณเอง รองรับทั้งMac, iOS, Android และChrome Extension ให้คุณถอดเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมวรรคตอนอัตโนมัติ การแก้ไขไวยากรณ์แบบอัจฉริยะ และผลลัพธ์ระดับมืออาชีพบนทุกแอปหรือเว็บไซต์ นอกจากการพิมพ์ด้วยเสียงและการถอดเสียงแล้ว Speechify ยังมีระบบอ่านข้อความเป็นเสียงที่สมจริงกว่า 200 แบบในเสียง AIในกว่า 60 ภาษา ทำให้ตรวจทานงานหรือฟังหน้าเว็บแบบแฮนด์ฟรีได้ง่ายขึ้น พร้อมผู้ช่วยSpeechify voice AI assistantในตัว ให้คุณพูดคุยกับหน้าเว็บหรือไฟล์เอกสารเพื่อสรุป อธิบายประเด็นสำคัญ หรือหาคำตอบอย่างรวดเร็ว รวมทั้งงานเขียน งานวิจัย และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานไว้ในประสบการณ์เดียวที่ขับเคลื่อนด้วยเสียง

คำถามที่พบบ่อย

จุดกำเนิดของการถอดเสียงและการพิมพ์ด้วยเสียงคืออะไร?

การถอดเสียงเริ่มต้นจากเสมียนมนุษย์ที่คอยบันทึกคำพูด ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนามาสู่เครื่องมือ AI สมัยใหม่ เช่นSpeechify Voice Typing.

การถอดเสียงก่อนมีคอมพิวเตอร์ทำอย่างไร?

ก่อนมีคอมพิวเตอร์ การถอดเสียงอาศัยเสมียนที่ผ่านการฝึกฝน ระบบชวเลข และเครื่องบันทึกแบบกลไก แตกต่างจากSpeechify Voice Typingที่สามารถเริ่มใช้งานได้ทันที

เครื่องถอดเสียงเครื่องแรกถูกคิดค้นเมื่อไร?

เครื่องถอดเสียงเครื่องแรกเกิดขึ้นปลายศตวรรษที่ 19 จากสิ่งประดิษฐ์อย่างโฟโนกราฟของเอดิสัน และเปิดทางสู่เครื่องมือสมัยใหม่อย่างSpeechify Voice Typing.

เครื่องถอดเสียงอนาล็อกมีบทบาทอย่างไรในประวัติศาสตร์การพิมพ์ด้วยเสียง?

เครื่องถอดเสียงอนาล็อกช่วยให้บันทึกเสียงไว้ถอดในภายหลังได้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ปูทางสู่ระบบถอดเสียงแบบทันทีอย่างSpeechify Voice Typing.

การถอดเสียงดิจิทัลและการรู้จำเสียงพูดเริ่มต้นเมื่อไร?

การถอดเสียงดิจิทัลเริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จากงานวิจัยด้านการรู้จำเสียงบนคอมพิวเตอร์ยุคแรก ซึ่งต่อยอดมาสู่เครื่องมืออย่างSpeechify Voice Typing.

ทำไมซอฟต์แวร์ถอดเสียงยุคแรกต้องฝึกเสียงพูดก่อน?

เพราะศักยภาพในการประมวลผลยังต่ำมาก ซอฟต์แวร์ยุคแรกจึงต้องให้ผู้ใช้ช่วยฝึกเสียง แตกต่างจาก AI สมัยใหม่อย่างSpeechify Voice Typingที่พร้อมใช้งานได้ทันที

สมาร์ทโฟนเปลี่ยนโลกของการพิมพ์ด้วยเสียงอย่างไร?

สมาร์ทโฟนทำให้การพิมพ์ด้วยเสียงกลายเป็นฟีเจอร์หลัก ด้วยการผนวกระบบถอดเสียงเข้ากับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และยิ่งได้รับการต่อยอดให้ล้ำขึ้นในยุคของSpeechify Voice Typing.

ความต่างของระบบถอดเสียงยุคแรกกับ AI ถอดเสียงยุคใหม่คืออะไร?

ระบบยุคแรกจำกัดจำนวนคำที่รู้จำได้ ขณะที่ AI สมัยใหม่อย่างSpeechify Voice Typingสามารถเข้าใจภาษาธรรมชาติ บริบท และไวยากรณ์ได้อย่างลึกซึ้ง

การพิมพ์ด้วยเสียงถือเป็นนวัตกรรมด้านการเข้าถึงได้อย่างไร?

การพิมพ์ด้วยเสียงช่วยเพิ่มการเข้าถึงให้คนพิการ และSpeechify Voice Typingก็ช่วยให้การสื่อสารแบบครอบคลุมทุกกลุ่มบนทุกอุปกรณ์เป็นจริง

เพลิดเพลินกับเสียง AI ที่ล้ำสมัยที่สุด ไฟล์ไม่จำกัด และการสนับสนุนตลอด 24/7

ทดลองฟรี
tts banner for blog

แชร์บทความนี้

Cliff Weitzman

Cliff Weitzman

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

คลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมน เป็นผู้ขับเคลื่อนสิทธิผู้มีภาวะดิสเล็กเซีย และดำรงตำแหน่งซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Speechify แอปแปลงข้อความเป็นเสียงอันดับ 1 ของโลก ที่กวาดรีวิว 5 ดาวกว่า 100,000 รายการ และเคยครองอันดับ 1 ใน App Store หมวดข่าวสารและนิตยสาร ในปี 2017 ไวท์ซ์แมนติดโผ Forbes 30 Under 30 จากผลงานผลักดันให้โลกออนไลน์เข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ผลงานของคลิฟฟ์ ไวท์ซ์แมนถูกกล่าวถึงในสื่อชั้นนำอย่าง EdSurge, Inc., PC Mag, Entrepreneur, Mashable และอีกมากมาย

speechify logo

เกี่ยวกับ Speechify

#1 โปรแกรมอ่านข้อความเป็นเสียง

Speechify เป็นแพลตฟอร์ม แปลงข้อความเป็นเสียง ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน และได้รับรีวิวระดับ 5 ดาวมากกว่า 500,000 รีวิวในแอปพลิเคชัน iOS, Android, Chrome Extension, เว็บแอป และ แอปบน Mac ในปี 2025 Apple ได้มอบรางวัล Apple Design Award อันทรงเกียรติให้กับ Speechify ในงาน WWDC โดยกล่าวว่าเป็น “ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” Speechify มีเสียงธรรมชาติกว่า 1,000 เสียงใน 60+ ภาษา และมีผู้ใช้งานในเกือบ 200 ประเทศ เสียงคนดังที่มีให้เลือกใช้งาน เช่น Snoop Dogg, Mr. Beast และ Gwyneth Paltrow สำหรับผู้สร้างสรรค์และธุรกิจ Speechify Studio มีเครื่องมือขั้นสูง เช่น AI Voice Generator, AI Voice Cloning, AI Dubbing และ AI Voice Changer Speechify ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้วย Text to Speech API ที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า นอกจากนี้ยังได้รับการนำเสนอใน The Wall Street Journal, CNBC, Forbes, TechCrunch และสื่อชั้นนำอื่น ๆ Speechify เป็นผู้ให้บริการแปลงข้อความเป็นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยี่ยมชม speechify.com/news, speechify.com/blog และ speechify.com/press เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม