1. หน้าแรก
  2. การเรียนรู้ออนไลน์
  3. การถกเถียงครั้งใหญ่: Elearning หรือ e-learning?

การถกเถียงครั้งใหญ่: Elearning หรือ e-learning?

Cliff Weitzman

คลิฟ ไวซ์แมน

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

#1 โปรแกรมสร้างเสียง AI.
สร้างเสียงพากย์คุณภาพมนุษย์
ในเวลาจริง

apple logoรางวัลออกแบบยอดเยี่ยมจาก Apple ปี 2025
ผู้ใช้กว่า 50 ล้านคน
ฟังบทความนี้ด้วย Speechify!
speechify logo

Elearning หรือ e-learning?

โลกของการศึกษาแบบดิจิทัลได้พัฒนาไปอย่างมาก และหนึ่งในแง่มุมที่สำคัญคือ e-learning อย่างไรก็ตาม มีการถกเถียงกันเสมอเกี่ยวกับการสะกดที่ถูกต้อง - ควรเป็น eLearning, e-learning หรือ e learning?

eLearning หมายถึงอะไร?

E-learning หรือการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึงการส่งมอบเนื้อหาการศึกษาผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน รวมถึงองค์ประกอบการออกแบบการสอนที่หลากหลาย เช่น วิดีโอ แบบทดสอบ การจำลอง และโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้รับทักษะและความรู้ใหม่ ๆ ตามจังหวะของตนเอง โดยไม่ต้องอยู่ในห้องเรียนแบบเผชิญหน้ากันแบบดั้งเดิม E-learning สามารถเกิดขึ้นได้แบบเรียลไทม์ ที่ผู้เรียนและผู้สอนโต้ตอบกันทางออนไลน์ในเวลาเดียวกัน หรืออาจเป็นแบบไม่พร้อมกัน ที่ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ

ประโยชน์ของ eLearning คืออะไร?

  1. ความยืดหยุ่น: E-learning ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ทำให้สะดวกสำหรับผู้ที่มีตารางงานยุ่งหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
  2. การปรับให้เหมาะสม: แพลตฟอร์ม e-learning สามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการและรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้
  3. ประหยัดค่าใช้จ่าย: E-learning ช่วยลดความจำเป็นในการใช้โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ การเดินทาง และวัสดุสิ่งพิมพ์ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับทั้งผู้เรียนและผู้สอน
  4. การเข้าถึงที่กว้างขวาง: E-learning สามารถเข้าถึงได้โดยผู้เรียนทั่วโลก ทำให้สามารถเข้าถึงผู้เรียนได้มากกว่าการเรียนในห้องเรียนแบบดั้งเดิม
  5. การเรียนรู้ผ่านมือถือ: เนื้อหา e-learning สามารถเข้าถึงได้บนอุปกรณ์มือถือ ทำให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ทุกที่

E-learning เหมาะสำหรับการเรียนรู้แบบดิจิทัลหรือการเรียนรู้ทางไกล ผู้ใช้สามารถกำหนดตารางเวลาของตนเองได้เนื่องจากแต่ละคนมีวิธีการเรียนรู้ของตนเอง

ความแตกต่างระหว่าง eLearning และ e-learning คืออะไร?

ความแตกต่างระหว่าง eLearning และ e-learning ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของไวยากรณ์

ตามพจนานุกรมอ็อกซ์ฟอร์ด 'e-learning' ที่มีขีดกลางเป็นวิธีการสะกดที่ถูกต้อง

เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว 'e' ย่อมาจาก 'electronic' และตามหลักการของภาษาอังกฤษ ควรมีขีดกลางเมื่อใช้เป็นคำคุณศัพท์ อย่างไรก็ตาม 'eLearning' ที่ไม่มีขีดกลางและ 'e learning' ที่มีช่องว่างก็ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม e-learning และหลักสูตรออนไลน์ แม้ว่ารูปแบบที่มีขีดกลางจะถูกต้องตามหลักไวยากรณ์มากกว่า

e-learning สามารถใช้เพื่อปรับแต่งและเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับนักเรียนแต่ละคนได้อย่างไร?

แพลตฟอร์ม e-learning มักมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้สอนสามารถปรับแต่งเนื้อหาการเรียนรู้ แบบทดสอบ การจำลอง และการประเมินตามความต้องการ ความชอบ และจังหวะการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน วิธีการที่ปรับให้เหมาะสมนี้ช่วยในการรักษาความรู้ได้ดีขึ้น เนื่องจากผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับเนื้อหาการเรียนรู้ในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับพวกเขา นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม e-learning มักมาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์และรายงานที่ช่วยให้ผู้สอนติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนแต่ละคน ระบุจุดแข็งและจุดที่ต้องปรับปรุง และปรับการออกแบบการสอนให้เหมาะสม

ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับนักเรียนและผู้สอนในการมีส่วนร่วมใน e-learning อย่างมีประสิทธิภาพคืออะไร?

เพื่อมีส่วนร่วมใน e-learning อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนักเรียนและผู้สอนจำเป็นต้องมี:

  1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่เสถียร
  2. อุปกรณ์ดิจิทัล เช่น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน
  3. เว็บเบราว์เซอร์ที่อัปเดต
  4. ซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันที่จำเป็นสำหรับหลักสูตรออนไลน์ เช่น ระบบการจัดการการเรียนรู้ (LMS) เครื่องมือการประชุม หรือเครื่องมือการสร้างเนื้อหา

นอกจากนี้ยังแนะนำให้มีพื้นที่ที่เงียบสงบและสะดวกสบายเพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้หรือการสอนที่มีสมาธิ

แพลตฟอร์ม e-learning วัดและรับรองประสิทธิภาพของเนื้อหาได้อย่างไร?

แพลตฟอร์ม e-learning มักมาพร้อมกับเครื่องมือวิเคราะห์และรายงานในตัวที่ช่วยให้ผู้สอนและผู้ดูแลระบบวัดประสิทธิภาพของเนื้อหาการเรียนรู้ เครื่องมือเหล่านี้ติดตามเมตริกต่าง ๆ เช่น ระดับการมีส่วนร่วม อัตราการสำเร็จ คะแนนการประเมิน และเวลาที่ใช้ในแต่ละโมดูล โดยการวิเคราะห์เมตริกเหล่านี้ ผู้สอนสามารถระบุได้ว่าส่วนใดของหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนใดที่ต้องปรับปรุง และผู้เรียนมีความก้าวหน้าอย่างไร บางแพลตฟอร์มยังมีตัวเลือกในการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เรียน ซึ่งสามารถใช้เพื่อปรับปรุงเนื้อหา e-learning ได้ตามความจำเป็น

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดใน e-learning คืออะไรและสามารถแก้ไขได้อย่างไร?

  1. ขาดแรงจูงใจ: การเรียนรู้แบบออนไลน์อาจทำให้ผู้เรียนขาดแรงจูงใจเนื่องจากไม่มีโครงสร้างและวินัยเหมือนในห้องเรียนแบบดั้งเดิม สามารถแก้ไขได้โดยการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน สร้างตารางเรียนที่มีโครงสร้าง และใช้การเล่นเกมเพื่อทำให้การเรียนรู้มีความน่าสนใจมากขึ้น
  2. ปัญหาทางเทคนิค: การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและอุปกรณ์ดิจิทัลอาจเป็นปัญหาสำหรับผู้เรียนบางคน ครูและสถาบันสามารถแก้ไขได้โดยการให้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้แบบออฟไลน์ และให้การสนับสนุนทางเทคนิคเมื่อจำเป็น
  3. ความรู้สึกโดดเดี่ยว: การเรียนรู้ออนไลน์อาจทำให้ผู้เรียนรู้สึกโดดเดี่ยวเนื่องจากขาดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเหมือนในห้องเรียนแบบดั้งเดิม สามารถแก้ไขได้โดยการรวมกิจกรรมที่ต้องทำร่วมกัน การสนทนากลุ่ม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในโปรแกรมการเรียนรู้ออนไลน์

9 เครื่องมือการเรียนรู้ออนไลน์ยอดนิยม:

  1. Moodle: Moodle เป็นระบบจัดการการเรียนรู้แบบโอเพนซอร์สที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ใช้โดยครูและสถาบันทั่วโลก มีฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยในการสร้างและจัดการหลักสูตรออนไลน์ รวมถึงการสร้างเนื้อหา การประเมินผล และการติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน นอกจากนี้ยังรองรับการเรียนรู้ผ่านมือถือ ซึ่งหมายความว่าผู้เรียนสามารถเข้าถึงหลักสูตรผ่านอุปกรณ์มือถือได้ คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • ออกแบบหลักสูตรได้ตามต้องการ
  • มีแบบทดสอบและการประเมินในตัว
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • เครื่องมือการทำงานร่วมกัน เช่น ฟอรัมและวิกิ
  • การวิเคราะห์และรายงาน ค่าใช้จ่าย: ฟรี (โอเพนซอร์ส) แต่การโฮสต์และปลั๊กอินเพิ่มเติมอาจมีค่าใช้จ่าย
  1. Adobe Captivate: Adobe Captivate เป็นเครื่องมือสร้างเนื้อหาที่ทรงพลังสำหรับการสร้างหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์แบบโต้ตอบ ช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาที่ตอบสนองได้ซึ่งสามารถเข้าถึงได้บนอุปกรณ์ใดก็ได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับแม่แบบและทรัพยากรในตัว ทำให้ง่ายต่อการสร้างหลักสูตรที่ดูเป็นมืออาชีพ คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • การออกแบบที่ตอบสนอง
  • องค์ประกอบและการจำลองแบบโต้ตอบ
  • ทรัพยากรและแม่แบบในตัว
  • แบบทดสอบและการประเมิน
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ ค่าใช้จ่าย: เริ่มต้นที่ $33.99/เดือน
  1. Articulate Storyline: Articulate Storyline เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสร้างเนื้อหาที่ได้รับความนิยมสำหรับการสร้างหลักสูตรการเรียนรู้ออนไลน์ที่โต้ตอบและน่าสนใจ มาพร้อมกับอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและฟีเจอร์หลากหลายที่ช่วยในการสร้างเนื้อหาแบบโต้ตอบ แบบทดสอบ และการประเมินผล คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • องค์ประกอบและการจำลองแบบโต้ตอบ
  • แม่แบบและตัวละครในตัว
  • แบบทดสอบและการประเมิน
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • เอาต์พุต HTML5 ค่าใช้จ่าย: เริ่มต้นที่ $1,299 สำหรับใบอนุญาตถาวร
  1. Blackboard Learn: Blackboard Learn เป็นระบบจัดการการเรียนรู้ที่ครอบคลุมซึ่งมีเครื่องมือหลากหลายสำหรับการสร้าง จัดการ และส่งมอบหลักสูตร ใช้โดยสถาบันการศึกษาระดับสูง โรงเรียน K-12 และองค์กรสำหรับการฝึกอบรมและพัฒนาออนไลน์ คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • ออกแบบหลักสูตรได้ตามต้องการ
  • เครื่องมือการทำงานร่วมกัน เช่น กระดานสนทนาและวิกิ
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • การวิเคราะห์และรายงาน
  • การรวมเข้ากับเครื่องมือของบุคคลที่สาม ค่าใช้จ่าย: ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะและต้องขอข้อมูล
  1. Coursera: Coursera เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันทั่วโลก มีหลักสูตรหลากหลายวิชา และผู้เรียนสามารถได้รับใบรับรองหรือปริญญาหลังจากสำเร็จการศึกษา คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • หลักสูตรหลากหลาย
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • แบบทดสอบและการประเมินแบบโต้ตอบ
  • งานที่ได้รับการตรวจสอบจากเพื่อน
  • ใบรับรองและปริญญา ค่าใช้จ่าย: หลายหลักสูตรมีให้ฟรี แต่ใบรับรอง สาขาวิชาเฉพาะ และปริญญามีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  1. Khan Academy: Khan Academy เป็นองค์กรการศึกษาไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้บริการหลักสูตรออนไลน์ฟรีในหลากหลายวิชา มีวิดีโอการสอน แบบฝึกหัด และแดชบอร์ดการเรียนรู้ส่วนบุคคลที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถศึกษาได้ตามจังหวะของตนเอง คุณสมบัติเด่น 5 ประการ:
  • เข้าถึงหลักสูตรทั้งหมดได้ฟรี
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • แบบทดสอบและการประเมินแบบโต้ตอบ
  • แดชบอร์ดการเรียนรู้ส่วนบุคคล
  • วิดีโอการสอน ค่าใช้จ่าย: ฟรี
  1. Udemy: Udemy เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่มีหลักสูตรหลากหลายจากผู้สอนทั่วโลก ผู้เรียนสามารถเข้าถึงหลักสูตรได้ทุกที่ทุกเวลาและเรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง คุณสมบัติเด่น 5 อันดับ:
  • หลักสูตรหลากหลาย
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • แบบทดสอบและการประเมินที่มีปฏิสัมพันธ์
  • ใบรับรองการจบหลักสูตร
  • เข้าถึงหลักสูตรที่ซื้อได้ตลอดชีพ ค่าใช้จ่าย: หลักสูตรมีราคาที่แตกต่างกัน เริ่มต้นเพียง $10.99
  1. edX: edX เป็นแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ที่ก่อตั้งโดย Harvard และ MIT มีหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยและสถาบันทั่วโลก ผู้เรียนสามารถรับใบรับรองหรือปริญญาหลังจากจบหลักสูตร คุณสมบัติเด่น 5 อันดับ:
  • หลักสูตรหลากหลาย
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • แบบทดสอบและการประเมินที่มีปฏิสัมพันธ์
  • งานที่ตรวจสอบโดยเพื่อน
  • ใบรับรองและปริญญา ค่าใช้จ่าย: หลายหลักสูตรสามารถเรียนได้ฟรี แต่ใบรับรอง การศึกษาอาชีพ และปริญญามีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน
  1. Google Classroom: Google Classroom เป็นแพลตฟอร์มบนเว็บที่ให้บริการฟรี ซึ่งรวมชุด Google Apps for Education เพื่อให้ง่ายต่อการสร้าง แจกจ่าย และให้คะแนนงาน มันช่วยให้ครูจัดระเบียบงาน ส่งเสริมการสื่อสาร และทำงานร่วมกับนักเรียนแบบเรียลไทม์ คุณสมบัติเด่น 5 อันดับ:
  • การรวมกับ Google Apps for Education
  • การจัดระเบียบและให้คะแนนงาน
  • การสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์
  • รองรับการใช้งานบนมือถือ
  • การวิเคราะห์และรายงาน ค่าใช้จ่าย: ฟรี

คำถามที่พบบ่อย

ทำไมถึงเรียกว่า eLearning?

เรียกว่า eLearning หรือ e-learning เพราะ 'e' ย่อมาจาก 'electronic' ซึ่งหมายถึงการส่งเนื้อหาการศึกษาผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล

eLearning แตกต่างจากห้องเรียนแบบดั้งเดิมอย่างไร?

e-learning แตกต่างจากห้องเรียนแบบดั้งเดิมตรงที่ส่งผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ทุกที่ทุกเวลาและเรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง ในขณะที่ห้องเรียนแบบดั้งเดิมต้องการให้ผู้เรียนอยู่ในสถานที่และเวลาที่กำหนด

ทำไมเราถึงสะกดแบบนี้?

การสะกดที่ถูกต้องตามพจนานุกรมอ็อกซ์ฟอร์ดคือ 'e-learning' โดยมีขีดกลาง เนื่องจาก 'e' ย่อมาจาก 'electronic' และควรมีขีดกลางเมื่อใช้เป็นคำคุณศัพท์ อย่างไรก็ตาม 'eLearning' ที่ไม่มีขีดกลางก็ได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายเช่นกัน

e-learning ได้ปฏิวัติวิธีการเรียนรู้และการสอน มันมอบความยืดหยุ่น การปรับแต่ง และความคุ้มค่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งผู้เรียนและผู้สอน อย่างไรก็ตาม มันยังมีความท้าทายเช่น ขาดแรงจูงใจ ปัญหาทางเทคนิค และความรู้สึกโดดเดี่ยว

โดยการแก้ไขปัญหาเหล่านี้และใช้ประโยชน์จากเครื่องมือ e-learning เราสามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน ไม่ว่าคุณจะสะกดว่า eLearning, e-learning หรือ e learning แก่นแท้ยังคงเหมือนเดิม - มันเกี่ยวกับการเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล

ผลิตเสียงพากย์ การพากย์ และการโคลนด้วยเสียงกว่า 1,000 เสียงในกว่า 100 ภาษา

ทดลองฟรี
studio banner faces

แชร์บทความนี้

Cliff Weitzman

คลิฟ ไวซ์แมน

ซีอีโอ/ผู้ก่อตั้ง Speechify

คลิฟ ไวซ์แมน เป็นผู้สนับสนุนผู้มีภาวะดิสเล็กเซียและซีอีโอผู้ก่อตั้ง Speechify แอปพลิเคชันแปลงข้อความเป็นเสียงอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งได้รับรีวิว 5 ดาวมากกว่า 100,000 ครั้ง และครองอันดับหนึ่งในหมวดข่าวและนิตยสารบน App Store ในปี 2017 ไวซ์แมนได้รับการยกย่องในรายชื่อ Forbes 30 under 30 จากผลงานของเขาที่ทำให้อินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องในการเรียนรู้ คลิฟ ไวซ์แมน ได้รับการนำเสนอในสื่อชั้นนำต่างๆ เช่น EdSurge, Inc., PC Mag, Entrepreneur, Mashable เป็นต้น

speechify logo

เกี่ยวกับ Speechify

#1 โปรแกรมอ่าน Text to Speech

Speechify เป็นแพลตฟอร์ม แปลงข้อความเป็นเสียง ชั้นนำของโลกที่มีผู้ใช้มากกว่า 50 ล้านคนและได้รับรีวิวระดับห้าดาวมากกว่า 500,000 รีวิวในแอปพลิเคชัน iOS, Android, Chrome Extension, เว็บแอป และ แอปบน Mac ในปี 2025 Apple ได้มอบรางวัล Apple Design Award ให้กับ Speechify ที่ WWDC โดยเรียกมันว่า “ทรัพยากรสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตได้ดีขึ้น” Speechify มีเสียงที่ฟังดูเป็นธรรมชาติกว่า 1,000 เสียงในกว่า 60 ภาษาและถูกใช้ในเกือบ 200 ประเทศ เสียงของคนดังที่มีให้เลือกได้แก่ Snoop Dogg, Mr. Beast และ Gwyneth Paltrow สำหรับผู้สร้างและธุรกิจ Speechify Studio มีเครื่องมือขั้นสูงรวมถึง AI Voice Generator, AI Voice Cloning, AI Dubbing และ AI Voice Changer Speechify ยังสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชั้นนำด้วย text to speech API ที่มีคุณภาพสูงและคุ้มค่า ได้รับการนำเสนอใน The Wall Street Journal, CNBC, Forbes, TechCrunch และสื่อข่าวใหญ่ๆ อื่นๆ Speechify เป็นผู้ให้บริการแปลงข้อความเป็นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก เยี่ยมชม speechify.com/news, speechify.com/blog และ speechify.com/press เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม